แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
ยิ่งคนเราในยามที่ประสบกับความพลัดพราก ในยามที่ประสบกับความสูญเสีย ในยามที่เศร้าโศกเสียใจ หรือในภาวะที่ชีวิตนี้ดูไร้คุณค่า สิ่งหนึ่งที่ช่วยเยียวยาจิตใจได้ ก็คือการนึกถึงผู้อื่น การไปช่วยเหลือผู้อื่น มีผู้หญิงคนนึง เธอเศร้าเสียใจเพราะสามีกำลังจะจากไปด้วยโรคร้าย สองคนนี้เค้ารักกันมาก และก็อยู่ด้วยกันมาอย่างมีความสุข แต่สุดท้ายความพลัดพรากก็กำลังจะเกิดขึ้น อันนี้ไม่มีใครหนีพ้น ไม่ว่าจะเป็นคนทำบุญรักษาศีล ทำความดีเพียงไร คนเราก็หนีความพลัดพรากไม่ได้ เธอก็เศร้าโศกเสียใจมาก เธอก็ไม่รู้ว่าเธอจะอยู่ได้อย่างไร ในวันที่ไม่มีเขา แล้วเธอก็เปิดใจให้สามีฟังว่า “ฉันจะอยู่อย่างไรถ้าไม่มีเธอ” สามีเป็นคนเข้มแข็งและเป็นคนเข้าใจภรรยา เขาบอกว่า เขาแนะนำเธอว่า ก็ขอให้เธอ เอาความรักที่มีให้กับฉันไปมอบให้คนอื่น นี่คือคำแนะนำของสามี เอาความรักที่เธอมีให้กับฉันนี้ ไปมอบให้คนอื่น สามีไม่ได้แนะนำให้ไปหาผู้ชายคนใหม่นะ สามีกำลังบอกเธอว่าให้ออกไปช่วยเหลือคนอื่นด้วยความรักความเมตตา รักเขาอย่างไร รักสามีอย่างไร ก็เอาความรักนั้นไปเผื่อแผ่ให้กับผู้อื่น และพอสามีตาย เธอก็ทำอย่างที่สามีแนะนำ เธอก็ไปช่วยเหลือคนที่ตกทุกข์ได้ยาก เธอก็ไปเป็นจิตอาสา ไปทำหลายอย่างที่เป็นประโยชน์ต่อส่วนรวม ทำด้วยความรัก เพียงแต่เปลี่ยนจากความรักที่มีกับสามีมา มาให้กับผู้อื่น แล้วก็ปรากฏว่าเธอก็คลายจากความเศร้าโศก เธอก็กลับมาใช้ชีวิตเป็นปกติได้ คำแนะนำของสามีนี้เป็นเหมือนกับสิ่งที่เยียวยาจิตใจของเธอ
คนที่เศร้าโศกหลายคน จิตใจจะจมดิ่ง และยิ่งจมดิ่งเพราะการเจ่าจุกมากเท่าไร ก็ยิ่งเศร้าโศกมากเท่านั้น สิ่งที่ช่วยทำให้ความเศร้าโศกจางคลายไปก็คือ ออกจาก ออกจากกรงที่ขังตัวเองเอาไว้ ไปสู่โลกกว้าง ออกไปช่วยผู้อื่น เมื่อเราออกไปช่วยผู้อื่น มันจะปลุกเมตตากรุณาให้เกิดขึ้นมาในใจ แม้จะไม่ตั้งใจก็ตาม และเมตตากรุณาที่เกิดขึ้นในใจนี้ มันจะช่วยบรรเทาความเศร้าโศก เหมือนกับน้ำดีที่พอปล่อยออกมาแล้ว มันก็จะค่อยๆ ไล่น้ำเสียออกไปจากจิตใจของเรา เพียงแค่ออกไปหรือทำอะไรเพื่อผู้อื่น
มีหมอเด็กคนนึง เธอก็เศร้ามากเลยที่สามีตายทั้งที่ยังหนุ่มอยู่ เสร็จจากงานศพแล้วเธอก็ยังนั่งซึม มาทำงานที่โรงพยาบาล เธอก็ไม่เป็นอันทำงาน นั่งเจ่าจุกอยู่ที่โต๊ะ อยู่กับโต๊ะ ไม่ทำอะไร ไม่ออกไปเยี่ยมหรือไปดูแลเด็กที่ป่วย ทำอย่างนี้เป็นอาทิตย์ อาทิตย์แรกเพื่อนๆ ก็ไม่ว่าอะไร เพราะว่าเห็นใจที่เธอสูญเสียสามีที่รัก แต่อาทิตย์ที่สองเธอก็ยังนั่งเจ่าจุกอยู่ตรงนั้นแหละ เพื่อนๆ ก็เห็นว่า ถ้าปล่อยให้เธอจมอยู่หรือดิ่งกับความเศร้าอย่างนี้จะแย่ แต่ว่าจะชวนเธอออกไป ไปเที่ยวเธอก็ไม่ไป จะชวนเธอทำอะไร เธอก็ไม่สนใจ เธอจะขอนั่งอยู่ในห้องนี่แหละ แล้วก็นั่งซึม คิดวกวนถึงอดีตที่เคยมีความสุขกับสามี คิดถึงความเศร้าโศกที่ต้องจากเขาไป แล้วอยู่มาวันนึง หัวหน้าพยาบาลก็อุ้มเด็ก อุ้มเด็กในวอร์ดจากหอผู้ป่วยมาวางไว้บนโต๊ะข้างหน้าเธอ เธอก็ไม่สนใจ ทั้งที่เธอเป็นหมอเด็ก แต่พอเด็กร้อง ร้องไปสักพัก เธอก็อยู่เฉยไม่ได้ เธอก็ต้องมาดูว่าเกิดอะไรขึ้น อ้อ..เด็กฉี่ เธอก็เปลี่ยนผ้าอ้อม แล้วเธอก็นั่งเจ่าจุกต่อ ผ่านไปสักชั่วโมง เด็กก็ร้องอีก แต่คราวนี้ไม่ใช่เพราะว่าฉี่ราด เธอก็ดูว่าเด็กร้องเพราะอะไร เด็กไม่สบาย เธอก็ไปหายามาให้เด็ก แล้วเธอก็นั่งเจ่าจุกอยู่อย่างเดิม จนกระทั่งได้เวลาเลิกงาน เธอก็เอาเด็กไปคืนหอผู้ป่วย แล้วเธอก็กลับบ้าน
วันรุ่งขึ้นเธอมาทำงานเหมือนเคย แต่ว่าอย่างที่บอก ก่อนหน้านั้นเธอไม่เคยทำงานอย่างจริงจังเลย มาถึงที่ทำงานมาถึงห้อง เธอก็มานั่งเจ่าจุก แต่วันนี้พอเธอมาถึงโรงพยบาล ประโยคแรกที่เธอถามหัวหน้าพยาบาล คือ “เด็กคนนั้นเป็นอย่างไร” เธอก็ออกไปหาเด็ก ออกไปหาเด็กคนนั้น แล้วก็ไปดูแล ไปดูเด็กคนอื่นต่อ ก็กลายเป็นว่าทั้งวันนั้น เธอไม่ได้กลับมานั่งเจ่าจุกเลย เธอเริ่มกลับคืนสู่ชีวิตเดิม ชีวิตที่ทำงานเพื่อช่วยเหลือผู้อื่น ช่วยเหลือเด็กป่วย หายเจ่าจุก คลายจากความเศร้าโศก เธอคลายจากความเศร้าโศกได้เพราะอะไร เพราะว่าเป็นห่วงเด็ก เพราะได้ออกไปช่วยเด็ก การนึกถึงผู้อื่นก็ดี การช่วยเหลือผู้อื่นก็ดี มันเป็นโอสถที่เยียวยาจิตใจได้ ไม่ใช่แต่เฉพาะคนที่เศร้าโศกเพราะความเสียใจ แต่รวมถึงคนที่ไม่รู้จะอยู่ไปทำไม ซึ่งความรู้สึกที่ว่าไม่รู้จะอยู่ไปทำไม ก็อาจจะเกิดจากการสูญเสียส่วนหนึ่ง แต่บางทีอาจจะเกิดจากเหตุผลอื่น
เมื่อสักสองอาทิตย์ที่แล้วได้ดูคลิป มันเป็นคลิปวีดีโอสั้นๆ มันเป็นเรื่องของผู้หญิงที่ยังสาว แล้วก็สวย แล้วก็ร่ำรวย มาหาจิตแพทย์ เธอก็บอกว่าเธอมีทุกอย่าง แต่รู้สึกว่าชีวิตนี้ไม่มีความสุขเลย เธอมีเงิน เธอมีทรัพย์สมบัติ เธอมีรูปร่างที่สวย แต่เธอก็ไม่มีความสุข จิตแพทย์ก็บอกว่า “เดี๋ยวอยากจะให้ฟังผู้หญิงคนหนึ่งนะ ลองฟังเรื่องราวของเธอดู” แล้วจิตแพทย์ก็เรียกพนักงาน คุณป้าคนหนึ่งที่เป็นพนักงานทำความสะอาด บอกว่า “มาช่วยเล่าเรื่องราวของป้าให้ผู้หญิงคนนี้ฟังหน่อย” เธอก็วางงานลง เธอก็หันมาคุย แล้วก็มาเล่าเรื่องราวของเธอ เธอบอกว่า“เมื่อหลายเดือนก่อนเธอสูญเสียสามี เป็นโรคร้าย สามเดือนต่อมา ลูกชายก็ตายเพราะอุบัติเหตุ ชีวิตเธอไม่เหลือ ชีวิตเธอไม่เหลือใครแล้ว มันเคว้งคว้าง มันเคว้างคว้างจนกระทั่งอยากจะตาย ชีวิตนี่ว่างเปล่าไปเลย ไม่รู้ว่าจะอยู่ไปทำไม แล้ววันหนึ่งปรากฏว่า มีลูกแมว ลูกแมวข้างถนนมันเดินตามเธอมา จากที่ทำงาน มาถึงบ้าน ผอมโซเลย เธอสงสาร เธอก็เลยเอานมให้มันกิน มันกินแล้วมันก็เริ่มมีชีวิตชีวาขึ้นมา แล้วก็เริ่มมาคลอเคลียเธอ พอแมวน้อยมาคลอเคลียเธอ เธอก็เริ่มยิ้มได้ มันเป็นยิ้มแรกของเธอในรอบหลายเดือน แล้วเธอก็ฉุกคิดขึ้นมาว่า แมวตัวน้อยๆ นี่ มันยังทำให้เธอยิ้มได้ การช่วยแมวตัวน้อยๆ นี่มันทำให้เธอยิ้มได้ แล้วถ้าการไปช่วยคนอื่น มันจะยิ่งไม่ทำให้เธอมีความสุขมากกว่านี้เหรอ เธอได้คิดขึ้นมา แล้วเธอก็เริ่มไปช่วยเหลือคนที่ตกทุกข์ได้ยาก เธอก็ทำขนมปังไปเอาแจกคนที่ยากจน แล้วพอคนเหล่านั้นยิ้ม เธอก็มีความสุข เธอมีความสุขที่ได้ช่วยเหลือคนที่ลำบาก และนับแต่นั้นทุกวันเธอก็พยายามทำความดี อย่างน้อยวันละ 1 อย่าง โดยเฉพาะการไปช่วยเหลือผู้อื่น เมื่อได้ช่วยคนคนหนึ่งมีความสุข เธอก็มีความสุขมากขึ้น เริ่มมีชีวิตชีวาขึ้นมา แล้วก็กลายเป็นว่าการอยากตาย ไม่อยากมีชีวิตอยู่ มันก็หายไป ชีวิตมีความสุขจากการช่วยเหลือผู้อื่นนี้ เป็นสิ่งหล่อเลี้ยง”
เรื่องเล่าของคุณป้าคนนี้ ทำให้ผู้หญิงคนที่มาหาจิตแพทย์นี่เข้าใจเลยว่า เธอมีทุกอย่างในชีวิตก็จริง แต่สิ่งที่เธอขาดหายไป อย่างหนึ่งที่ขาดหายไปจากชีวิตของเธอ ก็คือความรู้สึกว่าชีวิตมีคุณค่า หรือความสุขจากการได้ช่วยเหลือผู้อื่น ซึ่งมีคนจำนวนไม่น้อยที่อาจจะมีครอบครัวที่ดี มีสถานภาพในสังคม มีเงิน จะไปเที่ยวที่ไหน จะไปซื้ออะไร ไม่มีขาด แต่ว่าชีวิตนี้ว่างเปล่า ชีวิตนี้ มัน.. มันกลวง รอบตัวมีทรัพย์สมบัติมากมาย แต่ข้างในนี่มันกลวง มันว่างเปล่า ไม่มีความสุข เหมือนผู้หญิงคนนี้ สิ่งที่ขาดหายไปก็คือ ความรู้สึกว่าชีวิตมีคุณค่า และความสุขจากการที่ได้ช่วยเหลือผู้อื่น ถ้าหากว่า ไม่มีตรงนี้มาเติมเต็มในจิตใจ มันก็ไม่มีความสงบเย็นในจิตใจสักที
ความสงบเย็นในจิตใจส่วนหนึ่งก็เกิดจากสมาธิภาวนา แต่ส่วนหนึ่งที่ขาดไม่ได้ก็คือ การที่รู้สึกว่าชีวิตมีคุณค่า มีความหมาย ซึ่งเกิดจากการที่ได้ไปช่วยเหลือผู้อื่น อย่าว่าแต่ช่วยคนเลย แม้การช่วยสัตว์ ก็ทำให้มีพลังชีวิตขึ้นมาได้ เดี๋ยวนี้เราจะพบว่าคนจำนวนมาก ไม่รู้ว่าจะอยู่ไปทำไม แล้วเขาคิดว่า ถ้าใช้ชีวิตเต็มร้อยแล้วมันจะมีความสุข แต่การใช้ชีวิตเต็มร้อยของเขา คือการไปเที่ยว คือการไปผจญภัย การไปเสพสิ่งต่างๆ เท่านั้น อาตมาไม่แน่ใจว่า นั่นคือ ชีวิตเต็มร้อยจริงรึเปล่า และถึงแม้จะเป็นการใช้ชีวิตเต็มร้อย แต่สุดท้ายข้างในมันก็กลวง ก็ว่างเปล่า เพราะไม่รู้ว่าจริงๆ แล้วจะอยู่ไปทำไม ชีวิตที่อยู่เพื่อความเสพสุขนั้น ถึงจุดหนึ่ง มันจะรู้สึกเคว้ง เพราะว่าได้เท่าไรก็ไม่พอ เสพสุขเท่าไรก็ไม่มีความอิ่มเอมหรือเต็มอิ่มสักที จนกระทั่งได้ไปทำอะไรที่เป็นประโยชน์กับส่วนรวม หรือช่วยเหลือผู้อื่น
มีคุณปู่ฝรั่งคนหนึ่ง แกก็อายุ 80 กว่าแล้ว อยู่กับภรรยามาตั้ง 60 ปี แล้ววันหนึ่งภรรยาก็เสียชีวิต ฝรั่งนี้แกอยู่กันสองคนสามีกับภรรยา พอภรรยาตาย ชีวิตแกก็เคว้ง เศร้าซึม หมดอาลัยตายอยากกับชีวิต นอนไม่หลับ หงอยเหงา แล้วมาวันหนึ่งแกก็ขับรถลงคูน้ำ ตำรวจบอกว่าเป็นอุบัติเหตุ แต่ลูกเชื่อว่าไม่ได้เป็นอุบัติเหตุ พ่อคงคิดอยากจะฆ่าตัวตาย เพราะไม่รู้ว่าจะอยู่ไปทำไม มันไม่เหลืออะไรแล้ว ส่วนลูกก็ไม่มีเวลาที่จะอยู่กับพ่อได้ แต่รู้ว่าพ่อจำเป็นต้องมีคนดูแล ไม่เช่นนั้นพ่อคงคิดจะฆ่าตัวตายอีก ก็เลยแนะนำให้พ่อไปอยู่บ้านพักคนชรา ซึ่งทำอย่างมีมาตรฐาน พ่อไม่อยากไป การไปบ้านพักคนชรามันยิ่งซ้ำเติมพ่อเข้าไปใหญ่ เพราะว่าไม่เพียงแต่ขาด คือแต่ก่อนขาดเพียงแค่ภรรยา แต่ตอนนี้จะต้องจากบ้าน แล้วก็ไม่มีเสรีภาพ อยู่บ้านพักคนชราก็หงอยเหงา นอนติดเตียง ไม่กิน ไม่แต่งเนื้อแต่งตัว ไม่ออกไปไหนเลย แม้แต่หมอ แม้แต่ยา ก็ไม่ยอมกิน สามเดือนนี่ก็หงอยไปเรื่อยๆ หงอยไปเรื่อยๆ จนกระทั่งจะกรอบ หมอก็ไม่รู้จะทำอย่างไร แล้วหมอก็ทำใจว่าคงจะช่วยอะไรไม่ได้แล้ว ก็คือเหมือนคนที่จะตรอมใจตาย
แล้วจู่ๆ วันหนึ่ง สถานบ้านพักคนชราก็มีนโยบายใหม่ เป็นนโยบายที่เรียกว่าไม่มีเหมือนใคร คืออนุญาตให้เอาสัตว์มาเลี้ยง ไม่ใช่อนุญาตแต่ไปหามาเลย เอาแมวเอาหมาเอานกมา ซึ่งทีแรกก็ถูกต่อต้านจากพนักงานเจ้าหน้าที่ เพราะว่ามันเป็นการสร้างภาระ แต่ว่าทางผู้อำนวยการเชื่อว่า การเอาสัตว์เข้ามาในบ้านพักคนชรามันจะช่วยได้ แม้จะมีข้อขัด ข้อโต้แย้งว่าจะทำให้สกปรก ไม่สะอาด ไม่ถูกหลักอนามัย วันหนึ่งก็มีเจ้าหน้าที่เอานกแก้วสองตัวใส่กรงมาวางไว้ในห้องของคุณปู่คนนี้ คุณปู่ที่กำลังจะกรอบ คือกำลังจะหมดอาลัยตายอยากกับชีวิต ทีแรกแกก็ไม่สนใจ แต่พอผ่านไปสองสามชั่วโมง แกก็เริ่มหันมาสนใจนกแก้วคู่นี้ แล้วแกก็เริ่มนอนในท่าที่สามารถมองเห็นนกแก้วได้ชัดๆ
วันรุ่งขึ้นเจ้าหน้าที่เอาอาหารมาให้นกแก้ว แกก็เลยคุยกับเจ้าหน้าที่ บอกกับเจ้าหน้าที่ว่า นกตัวนี้มันเป็นไง นกคู่นี้มันเป็นยังไง มันชอบกินถั่วนะ เจ้าหน้าที่ก็แปลกใจ เพราะว่าแกไม่เคยพูดกับใครมาเลย เป็นเวลานานมาแล้ว แต่นี่เป็นครั้งแรกที่แกเริ่มคุยกับเจ้าหน้าที่ และเริ่มแสดงความสนใจสิ่งนอกตัวแก แล้วตอนหลังแกก็เริ่มหันมาให้อาหารนกด้วยตัวเอง เริ่มลุกจากเตียง เริ่มคุยกับนก และเมื่อแกรู้ว่านอกห้อง มันมีหมามีแมวที่เอามาเลี้ยง แกก็ขออนุญาตออกไปเป็นจิตอาสา พาหมาออกไปเดินเล่น แต่ก่อนสามเดือนนี้แกไม่เคยออกไปไหนเลย นอนอยู่แต่ในห้อง เก็บตัว นอนติดเตียง เก็บตัวอยู่แต่ในห้อง เป็นปรากฏการณ์ที่แปลกมาก แล้วแกก็เริ่มกิน เริ่มโอภาปราศรัยกับผู้คน เริ่มมีชีวิตชีวา สามเดือนต่อมา แกกลับมาเป็นปกติ แล้วก็กลับไป กลับไปที่บ้านได้ จากเดิมที่หมอและลูกต่างคิดว่าตายแน่ เพราะเหี่ยว อันนี้มันบอกอะไรเรา มันบอกเราว่าคนเรานี้ ถ้าหากว่ารู้ว่า เขาอยู่เพื่ออะไร หรือว่าอย่างน้อยได้ใช้ชีวิตของเขาในการทำประโยชน์ให้ อย่าว่าแต่คนเลย แม้กระทั่งสัตว์ การที่ได้ดูแลสัตว์ การที่ได้ดูแลเอาใจใส่มันทำให้มีชีวิตชีวาขึ้นมา มันช่วยเยียวยาความเศร้า ความเสียใจ หรือความรู้สึกเคว้งคว้างว่างเปล่าในจิตใจได้ เพราะอย่างน้อยรู้ว่า ชีวิตฉันนี้มันมีอะไรที่จะต้องทำ มันมีสิ่งที่จะ... หรือพูดอีกอย่างหนึ่งว่า อยู่ไปเพื่ออะไร มีจุดมุ่งหมายของชีวิต แม้จุดมุ่งหมายนั้นจะเป็นเพียงแค่การเลี้ยงนกซักคู่ เลี้ยงแมวซักตัว การทำเช่นนี้มันปลุกเมตตากรุณาให้เกิดขึ้นในใจ
และอย่างที่อาตมาว่า ความเมตตา จะช่วยขับไล่ความเคว้งคว้างว่างเปล่าในจิตใจของผู้คนได้ อันนี้เป็นตัวอย่างของ... ของอานิสงค์แห่งการบำเพ็ญตนให้เป็นประโยชน์ต่อผู้อื่น ซึ่งมันจะส่งผลย้อนกลับมาที่ตัวเรา สิ่งที่เราทำเพื่อช่วยผู้อื่นมันจะกลับมาช่วยเรา ไม่เพียงแต่ช่วยเยียวยาจิตใจ แต่ช่วยทำให้ชีวิตมีคุณค่า รู้สึกว่าเกิดความสุขและมีความอิ่มเอม และยิ่งกว่านั้นมันช่วยขัดเกลาจิตใจ ช่วยทำให้อัตตาตัวตนเล็กลง และคนเรานี้ถ้าอัตตาตัวตนเล็กลง มันก็ทำให้เรามีความสงบเย็นได้ง่าย อาตมาคิดว่าตรงนี้เป็น เป็นสิ่งที่เราควรที่จะให้ความใส่ใจ อย่าไปมองว่าการให้ความช่วยเหลือผู้อื่น จะทำให้จิตใจว้าวุ่น หรือว่าเป็นการทำให้ชีวิตลำบาก โดยเฉพาะคนเฒ่าคนแก่ในวัยเกษียณ ถ้าชีวิตทั้งชีวิตเอาแต่เสพสุข เอาแต่ดูหนังไปเที่ยว ก็อาจจะมีความเพลิดเพลินได้ในช่วงหนึ่ง แต่อยู่ไปนานๆ ก็จะเริ่มมีอาการเหมือนกับผู้หญิงคนที่ว่า คือว่างเปล่า เคว้งคว้าง รู้สึกเหมือนชีวิตไร้คุณค่า
อาตมาเคยไปดูงานของมูลนิธิฉือจี้ มูลนิธิฉือจี้นี้เขาเป็นมูลนิธิที่น่าทึ่งมาก มูลนิธินี้ มีสมาชิกมากถึงขนาด 1 ใน 4 ของประเทศไต้หวัน เขาทำกิจกรรมต่างๆ มากมาย พูดถึงเงินทุนเขามีมหาศาล ซึ่งล้วนแล้วแต่เอาไปใช้ประโยชน์เพื่อประโยชน์ส่วนรวม เขาเน้นเรื่องของโพธิสัตวธรรม คือการช่วยเหลือสรรพสัตว์ มีทั้งโรงพยาบาล โรงเรียน มหาวิทยาลัย โรงพยาบาลเขามีชื่อเสียงมาก หมอไทย พยาบาลไทยไปดูงาน เรื่องเกี่ยวกับการแพทย์ที่มีหัวใจของความเป็นมนุษย์ อาตมาไปดูมาตั้งแต่ 10 ปีที่แล้ว นอกจากนี้เขายังมีสถานีโทรทัศน์ที่มีชื่อด้าน สถานีโทรทัศน์สีขาวคุณธรรม ชื่อว่า“ต้าอ้าย” ต้าอ้ายแปลว่า“มหากรุณา” และก็มีคำๆ หนึ่งที่มีการแพร่หลายทั่วประเทศ ก็คือคำว่า“สถานีแยกขยะ” เมื่อ 10 ปีก่อนมี 5,000 สถานี ปัจจุบันนี้คงจะมีเป็นหมื่นแล้ว สถานีนี้เขาไม่มีคนทำงานเต็มเวลาหรือจ้างคนมาทำเลย มีแต่อาสาสมัคร และอาสาสมัครที่อาตมาไปเห็น ก็มีแต่คนแก่ๆ อาม่า อาซิ๊ม ในสายตาเราคืออาม่าอาซิ๊ม แต่จริงๆ ไม่ใช่ บางคนเป็นผู้จัดการ บางคนเป็นวิศวกร แต่เกษียณแล้ว เขาจะมานั่งยองๆ มาฉีกกระดาษบ้าง มาเอาจุกขวดมาแยกบ้าง แยกจุกออกมาเพื่อเอาไปรีไซเคิล เอาไปขาย เงินทุนก็เอามาสนับสนุนสถานีโทรทัศน์
มีคุณลุงคนหนึ่ง แกพูดถึงตัวเองว่า ผมนี่เป็นขยะคืนชีพ ผมนี่คือขยะคืนชีพ คือก่อนที่แกมาเป็นจิตอาสา แกเกษียณแล้วแกก็นั่งๆ นอนๆ อยู่ที่บ้าน ดูโทรทัศน์ กินอาหารอร่อยๆ คนแก่ในไต้หวันนี่ ถ้าเกษียณแล้วก็ไม่มีงานทำ ไม่เหมือนคนแก่ในอีสานในชนบท ยังต้องเลี้ยงลูก ยังอาจจะสานกระบุงตะกร้า ยังอาจพาจูงควายจูงวัวไปเลี้ยง แต่ว่าแกที่เกษียณแล้วไม่มีอะไรทำ ทำไปสักพักแกรู้สึกว่าชีวิตไร้คุณค่าเหมือนขยะ แกมีกินมีใช้สบาย แต่มันว่างเปล่า แต่พอได้ไปเป็นจิตอาสาให้กับ“ฉือจี้” ก็รู้สึกมีชีวิตชีวาขึ้นมา เลยพูดถึงตัวเองว่าเป็นขยะคืนชีพนะ อันนี้ทำให้ชีวิตแกเกิดความสงบเย็นในระดับหนึ่ง ฉะนั้นจึงบอกว่าไม่เพียงแต่ช่วยหรือส่งเสริมให้ตนเป็นประโยชน์เท่านั้น แต่การทำตนให้เป็นประโยชน์ก็นำไปสู่การขัดเกลาจิตใจ ทำให้ประณีตมากขึ้น ทำให้พบความสุข ความสงบเย็น
ถ้าพูดในแง่ของพระพุทธศาสนาถือว่าเป็นบารมีอย่างหนึ่ง เป็นการบำเพ็ญบารมีอย่างหนึ่ง ในพระพุทศาสนานั้นมีบารมี อยู่ 10 ประการ บารมี 10 ประการนี้ก็มีคนนำมาเทียบเคียง มาโยงกับภารกิจหรือการบำเพ็ญกรณียกิจของในหลวง ร.๙ ของเราที่เสด็จสวรรคตเมื่อปีที่แล้วว่า พระองค์ได้บำเพ็ญบารมี 10 ประการอย่างไรบ้าง จริงๆ การบำเพ็ญบารมีทั้ง 10 ไม่ใช่ว่าเฉพาะในหลวงเท่านั้นที่ทำได้ หรือเฉพาะคนที่เป็นพระโพธิสัตว์ที่จะทำได้ ที่จริงเป็นสิ่งที่เราทุกคนทำได้ และควรทำด้วย จะว่าไปแล้วการที่เราไปช่วยเหลือผู้อื่น บำเพ็ญตนให้เป็นประโยชน์ก็เป็นบารมี เป็นการบำเพ็ญบารมีได้ ไม่ว่าจะเป็นทานบารมี ศีลบารมี หรือว่าเนกขัมมบารมี เพราะเวลาเราไปช่วยเหลือผู้อื่นก็ต้องมีการให้ ให้ด้วยสิ่งของหรือสละเวลา และการที่เราไปช่วยเหลือผู้อื่นด้วยใจที่มีเมตตาก็เป็นศีลแบบหนึ่ง อย่าไปคิดว่าศีลจะต้องเป็นศีลห้า เมื่อเราไปช่วยเหลือผู้อื่น เราก็ต้องรู้จักใช้ชีวิตแบบเรียบง่าย เราอาจจะอยู่สบาย แต่พอเราไปปลูกป่าก็ต้องไปอยู่แบบลำบาก เวลาเราไปช่วยเหลือคนในชนบท เราก็อาจจะต้องนอนกลางดินกินกลางทราย อาหารอาจจะไม่ถูกใจ นอนในห้องที่ไม่ได้ติดแอร์ คืนสู่ชีวิตที่เรียบง่าย ก็เป็นเนกขัมมะบารมีได้ เป็นการบำเพ็ญปริจจาคะ ก็คือบริจาค บริจาคในที่นี้คือการสละความสุขส่วนตัว บำเพ็ญขันติบารมี บำเพ็ญตบะบารมี ก็เหมือนกัน การไปช่วยเหลือผู้อื่นต้องอดทนต่อความยากลำบาก ก็ฝึกขันติ การที่เราต้องละทิ้งความสะดวกสบาย ไม่หลงใหลต่อแรงดึงดูดของบริโภคนิยม ที่มันอยากจะตรึงให้เราไปเที่ยวห้าง ไปเที่ยวหาความสนุกสนาน ต้องออกไปในยังที่แร้นแค้นที่ลำบาก อันนี้ก็เป็นการบำเพ็ญบารมี ดังนั้นจึงเห็นได้ว่า เราสามารถบำเพ็ญบารมีได้หลายประการจากการที่ออกไปช่วยเหลือผู้อื่น และการทำสิ่งเหล่านั้นจะเป็นการบำเพ็ญบารมีและก็พัฒนาจิตใจของเราด้วย
เราคงทราบว่าพระพุทธเจ้า ที่พระองค์ทรงบรรลุธรรมตรัสรู้สัมมาสัมโพธิญาณได้ ก็เพราะทรงบำเพ็ญบารมี 10 อย่างครบถ้วนสมบูรณ์ ทั้งบารมีระดับปกติ อุปบารมี ปรมัตถบารมี พระองค์เสวยพระชาติเป็นพระโพธิสัตว์ ได้ช่วยเหลือสรรพสัตว์มามากมาย ล้วนแต่เป็นการบำเพ็ญบารมีแตกต่างกันไป เราก็สามารถบำเพ็ญบารมีได้ ไม่ว่าจะเป็นในฐานะชาวพุทธ หรือบำเพ็ญบารมีเพื่อเจริญรอยตามในหลวง ร.๙ ของเรา ข้างหลังนี้มีคำว่า“กำลังของแผ่นดิน” พวกเรานี้สามารถจะเป็นกำลังของแผ่นดินได้ จากการที่เราได้นึกถึงส่วนรวม นึกถึงผู้อื่น แล้วก็ใช้โอกาสนี้เป็นการเสริมสร้างหรือบำเพ็ญบารมีให้กับเรา คำว่า“บารมี” ไม่ได้หมายถึงการที่มีคนยำเกรง เดี๋ยวนี้คำว่า“บารมี” ผู้มีบารมี เราแปลว่าคนทั่วไปยำเกรง เช่น เจ้าพ่อคนนี้มีบารมีมาก หรือผู้มีบารมีนอกรัฐธรรมนูญ อันนี้ไม่เกี่ยวกับบารมีในพระพุทธศาสนา บารมีในพระพุทธศาสนา หมายถึง ความดีงามอย่างยิ่งยวดที่ควรบำเพ็ญ และถ้าเราบำเพ็ญแล้ว มันจะลดความเห็นแก่ตัว ทำให้จิตพบความสงบเย็น เป็นบันได้ที่จะนำไปสู่การมีปัญญาเห็นแจ้งในสัจธรรม และต่อไปบารมีข้ออื่นๆ เช่น อักโกธะคือความไม่โกรธ อวิหิงสาคือการไม่เบียดเบียน มัททวะคือความอ่อนโยน อาชชวะคือความซื่อตรง รักษ์สัจจะ ก็จะค่อยๆ ตามมา ตามมา และสุดท้ายก็จะนำไปสู่ชีวิตที่สอดคล้องกับธรรมะ อวิโรธนะคือการไม่ประพฤติผิดจากธรรม ดังนั้น ถ้าสำนึกว่าเราเป็นชาวพุทธก็ดี ก็จะต้องบำเพ็ญบารมีของพระโพธิสัตว์ หรือสำนึกว่าเราเป็นพสกนิกรของในหลวง ร.๙ ที่จะต้องบำเพ็ญตนให้เป็นกำลังของแผ่นดิน พยุงแผ่นดินที่พระองค์ได้ทรงอุทิศพระวรกายเพื่อรักษาเพื่อพัฒนาขึ้นมา มันก็ล้วนแล้วแต่เป็นการก่อให้เกิดประโยชน์ตนในที่สุด