แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
มีการศึกษาวิจัยสัก 3-4 ปีก่อนเห็นจะได้ เขาบอกว่าเด็กไทยใช้จ่ายเงินไปกับขนมปีละเกือบหมื่นบาท ข้อมูลนี้ทั้งประเทศเป็นค่าเฉลี่ยพวกขนมก๊อบแก๊บอะไรพวกนี้ ขณะที่ค่าใช้จ่ายเพื่อการศึกษาคือสามพันสี่ร้อยบาทหรือสามพันบาทต้นๆต่อปี จ่ายเพื่อค่าขนมหมื่นบาทต่อปี แต่จ่ายเพื่อค่าการศึกษาสามพันบาทต้นๆต่อปี ค่าใช้จ่ายที่ว่านี้ยังไม่ได้รวมค่าใช้จ่ายเพื่อความบันเทิง เกี่ยวกับสิ่งที่ไม่จำเป็น เช่นค่าโทรศัพท์ ถ้าดูตัวเลขนี้จะเห็นได้เลยว่าเราใช้จ่ายเพื่อการเสพสนองความเอร็ดอร่อยมากกว่าที่จะส่งเสริมเรื่องสติปัญญา การศึกษาใช้จ่ายไปสามพันกว่าบาทต่อปี หนึ่งในสามของค่าขนม แล้วสุขภาพก็ไม่ได้ดีขึ้นเพราะขนมหรือของที่กินเป็นของที่เรียกว่าจั๊งค์ฟู้ด (Junk Food) คืออาหารขยะ ผักที่เด็กไทยเรากินเฉลี่ยแล้ววันละหนึ่งช้อนโต๊ะครึ่ง ทั้งที่ควรจะกินสิบสองช้อนโต้ะ แล้วเขามีการวิจัยไอคิวของเด็กไทย ปรากฎว่าพัฒนาการลดลงจาก 91 เป็น 88 ทั้งที่ค่าเฉลียควรจะเป็น 90-100 เป็นสิ่งนี้น่าคิดว่าเด็กไทยเราแนวโน้นไอคิวลดลง ขณะเดียวกันน้ำหนักตัวเพิ่มขึ้น ตัวใหญ่ขึ้นเพราะว่ากินจุบกินจิบ กินน้ำตาล พวกนี้น้ำหนักตัวเพิ่มขึ้นแต่สติปัญญาลดลง
อีกที่หนึ่งเขามีการทำการศึกาวิจัยพบว่า เด็กไทยซึ่งรวมเยาวชนใช้เวลาในการดูโทรทัศน์แล้วก็เล่นเน็ตรวมแล้ววันละ 7 ชั่วโมง เรื่องนี้น่าคิดว่าว่าเอาเวลาที่ไหนมาทำกิจกรรมที่ว่า เพราะว่าเรียนหนังสือ 7-8 ชั่วโมงเข้าไปแล้ว นอนอีก 8 ชั่วโมง สงสัยจะดูโทรทัศน์แล้วก็เล่นเน็ต อาจจะตอนเวลาเรียนก็ได้ ใช้เวลา 7 ชั่วโมงสำหรับการเสพความบันเทิงโทรทัศน์ก็ดีโทรศัพท์ก็ดี ใช้โทรศัพท์มือถือหรือเล่นเน็ตเป็นเรื่องบันเทิงเป็นส่วนใหญ่ คือดูคลิปวิดีโอ เล่นเนต เล่นไลน์ เฟซบุ๊ค แต่ใช้เวลากับการอ่านหนังสือวันละ 40 นาที ข้อมูลนี้เป็นเด็กนักเรียน ถ้าจบไปแล้วคงจะอ่านน้อยลง เวลา 40 นาที กับ 7 ชั่วโมง ต่างกันมาก 40 นาทีเป็นเรื่องของวิชาความรู้ 7 ชั่วโมงเป็นเรื่องของความบันเทิง สิ่งนี้สอดคล้องกับที่พูดเมื่อสักครู่ ใช้จ่ายเพื่อการศึกษาปีละสามพันบาท แต่ใช้จ่ายเพื่อความเอร็ดอร่อยเกือบหนึ่งบาท แสดงให้เห็นว่าเด็กไทยมีค่านิยมที่เรียกว่า ใฝ่เสพมากกว่าใฝ่รู้หรือใฝ่ทำ
ใฝ่เสพก็เสพให้มากๆ ไม่ว่าจะทางตา ทางปาก ทางหู แต่การใฝ่ทำหรือใฝ่รู้น้อยลงไปเรื่อยๆ เรียนหนังสือก็กลายเป็นยาขมของเด็ก ไม่อยากเรียน เด็กอยากจะสนุก และเดี๋ยวนี้เป็นไปถึงระดับนักศึกษา อาตมามีเพื่อนเป็นอาจารย์มาก ส่วนใหญ่พูดตรงกันว่านักศึกษาเดี๋ยวนี้เวลาเลคเชอร์หรือบรรยา นักศึกษาไม่สนใจคำบรรยาย นักศึกษาก้มหน้าเล่นไลน์ เล่นเฟซบุ๊ค แบบนี้รวมทั้งนักศึกษาแพทย์ นักศึกษาแพทย์ถือว่าเป็นครีมเป็นหัวกระทิซึ่งน่าจะขยันเรียน แต่ถ้าไม่มีใครบังคับมีโอกาสเมื่อไรก็ไม่สนใจเรียนจะเล่นแต่โทรศัพท์ เดี๋ยวนี้ไม่ใช่เฉพาะนักศึกษา คนที่เรียนจบแล้วมีพฤติกรรมแบบนี้ เช่นเป็นพยาบาล เป็นหมอ เพื่อนของอาตมาเล่าว่าเพิ่งไปประชุมที่กรุงเทพ เป็นการประชุมระดับหมอและพยาบาลทั่วประเทศ ปรากฎว่าคนที่เข้าประชุมกว่าครึ่งก้มหน้า ก้มหน้าทำอะไร ก้มหน้าดูโทรศัพท์เล่นไลน์ ทั้งที่เป็นการประชุมที่สำคัญ เป็นการประชุมเรื่องการดูแลผู้ป่วยระยะท้าย
สิ่งนี้เป็นสภาพของผู้คนเวลานี้ เรื่องของความสนใจใฝ่รู้ที่เป็นสาระไม่ค่อยมีแล้ว แต่สนใจใฝ่เสพมากกว่า เสพในที่นี้อาจจะเสพข้อมูลก็ได้ เสพข้อมูลเพื่อความบรรเทิง อยากรู้โน้นรู้นี้แต่ไม่ได้สนองสติปัญญา ใฝ่รู้กับความอยากรู้อยากเห็นไม่เหมือนกัน การอยากรู้อยากเห็นส่วนใหญ่จะอยากรู้เรื่องของดาราหรือเกี่ยวกับทีมฟุตบอล อยากรู้ว่าคนนั้นเขาทะเลาะกันอย่างไร ดาราคนนี้เขามีใครเป็นกิ๊กใครเป็นคู่จิ้น สิ่งนี้เรียกว่าเป็นความอยากรู้อยากเห็นที่เป็นการเสพแบบหนึ่ง เสพเพื่อความบรรเทิงไม่ใช่ใฝ่รู้ เรื่องนี้ถ้าจะว่าไปเป็นเพราะเรื่องการเลี้ยงดูตั้งแต่ครอบครัวก็ว่าได้
การเลี้ยงดูของครอบครัวของพ่อแม่ ดูง่ายๆ เวลาพาลูกไปดูหนังดูละครก็ตาม พ่อแม่จะถามว่าสนุกไหม แทนที่จะถามว่าได้อะไรบ้าง คำว่าดูแล้วได้อะไรบ้างไม่ค่อยออกจากปากพ่อแม่เท่าไร เวลามีของเล่นก็จะถามว่าของเล่นนี้เล่นดีไหมสนุกไหม แต่ไม่ค่อยได้ถามเด็กว่ามันทำงานอย่างไร หุ่นยนต์หรือขอเล่นนี้ทำงานอย่างไร ทำไมมันเคลื่อนไหวได้ ทำไมมันถึงบังคับระยะไกลได้ บางทีเด็กก็ถามแต่พ่อแม่ตอบไม่ได้ก็ตัดบท ความใฝ่รู้ของเด็กก็หายไป มีแต่ความใฝ่เสพมาแทน เวลาเรียนก็อยากได้แต่คะแนน เอาคะแนนไปทำไม เอาคะแนนไปเพื่อจะได้มีรางวัลจากพ่อแม่ ความสุขไม่ได้อยู่ที่การเรียนรู้ ความสุขไม่ได้อยู่ที่การมีความรู้มากขึ้น เพราะฉนั้นเวลาจบมาทำงานก็คิดแต่ว่าทำอย่างไรจะทำงานให้น้อยที่สุด แต่ได้ผลงานได้คะแนนได้แต้มมากที่สุด หรือได้เงินเดือนมากๆ เพราะฉะนั้นใครมีเงินเดือนมากกว่าตัวเองก็จะน้อยใจหรืออิจฉา เหมือนกับใครที่มีคะแนนมากกว่านักเรียนก็อิจฉา ไม่ได้สนใจว่าใครเขามีความรู้มากกว่าเราหรือไม่ หรือใครเขาจะได้คะแนนมากกว่าแต่เรามีความรู้เราก็ไม่ทุกข์อะไร ตอนนี้เป็นกันทั้งโลกก็ว่าได้ เรื่องการใฝ่เสพมากกว่าใฝ่ทำหรือใฝ่รู้
ในอเมริกามีตัวเลขหนึ่งเขาบอกว่า หนึ่งในสามของคนที่จบมัธยม จบแล้วไม่อ่านหนังสือเลยตลอดชีวิต หนังสือแม้แต่เล่มเดียวก็ไม่อ่าน อ่านแต่ฉลากยาหรือป้ายโฆษณา ที่หนักกว่านั้นคือ นักศึกษาที่จบปริญญาตรี 40 เปอร์เซ็นต์จบไปแล้วไม่อ่านหนังสือจนตายเลิกอ่านไปเลย 70 เปอร์เซ็นต์ของผู้ใหญ่ชาวอเมริกันไม่เคยเข้าร้านหนังสือในรอบห้าปี ห้าปีที่ผ่านมาคน 70 เปอร์เซ็นต์ไม่เคยเข้าร้านหนังสือ แปลว่าอะไร แปลว่าคนอเมริกันซึ่งเราคิดว่าเขาเป็นพวกใฝ่รู้เดี๋ยวนี้ลดน้อยถอยลง ตัวเลขนี้คือคนอ่านหนังสือน้อยลง แต่อาจอ่านอย่างอื่นมากกว่าก็ได้ อ่านอีบุ๊คก็ได้แต่คงจะน้อย ส่วนใหญ่ดูโทรทัศน์ อ่านหนังสือน้อยแต่ดูโทรทัศน์ใช้โทรศัพท์เล่นแฟสเล่นอะไรต่างๆ สิ่งนี้เป็นปรากฎการของโลก คนอ่านหนังสือน้อยลงแต่เสพมากขึ้น
รวมทั้งเสพความสนุกความบันเทิงซึ่งเดี๋ยวนี้มีมาก สามารถจะดูหนังได้ 24 ชั่วโมง หนังดีๆทั้งนั้น แล้วเดี๋ยวนี้บริษัทจัดหาหนังก็มีอุบายต่างๆ ที่จะดึงดูดให้เราไปดูหนังของเขา เช่นเน็ตฟิก (Netflix) เป็นบริการจัดหาหนังทางอินเตอร์เน็ต จ่ายรายเดือนสักเดือนละ 300 บาท เขาบอกว่าคู่แข็งที่สำคัญที่สุดของเขาไม่ใช้บริษัทอเมซอน หรือ HBO แต่คือเวลานอนของเรา เวลานอนของเราคือคู่แข่งของเขา เพราะถ้าเรานอนเราจะดูหนังของเขาไม่ได้ เขาพยายามสรรหารายการต่างๆ เพื่อให้เรานอนน้อยลงแล้วดูหนังเขามากขึ้น
เฟสบุ๊คก็เหมือนกันเขามีทีมวิจัยว่า ทำอย่างไรที่จะให้เวลาดูหรือใช้เฟซบุ๊คนานที่สุดที่จะนานได้ เช่นมีการกดไลค์ มีปุ่มแชร์ มี New tweet ต่างๆ ใครที่คิดว่าจะดูเฟสบุ๊คห้านาทีแล้วจะเลิกได้ก็จะเลิกไม่ได้ ก็จะติด เขาจะมีลูกเล่นต่างๆ ให้เราใช้เวลานานกับเฟสบุ๊ค แล้วก็เลยใช้เวลาเป็นชั่วโมงแทนที่จะเป็นห้านาที ไม่ใช้เฉพาะเฟสบุ๊คอย่างเดียว โปรแกรมต่างๆ แอฟต่างๆ จะหาทางดึงดูดให้เราหมกมุ่นกับเขาให้นานที่สุด พวกนี้เขาทำวิจัยแล้วเขาก็ทำได้ผลด้วย เพราะฉะนั้นคนเลยถูกล่อหลอกให้อยู่กับแอฟกับโปรแกรมต่างๆ หรือหมกมุ่นอยู่กับโทรศัพท์มือถือ คอมพิวเตอร์ วันหนึ่งหลายๆชั่วโมง ดังนั้นเวลาที่จะไปศึกษาหาความรู้ หรือแม้แต่เวลาจะนอนก็น้อยลง ทำให้เสพติดความบันเทิงในรูปแบบต่างๆ เวลาหายไปกับการเสพความบันเทิง เวลาที่จะใช้ในการศึกษาหาความรู้ก็น้อยลง แม้แต่การทำสมาธิภาวนาก็ไม่ต้องพูดถึง
เพราะฉะนั้นสติปัญญาของคนมีแนวโน้มจะลดลงลดลงไปเรื่อย เรื่องนี้น่าห่วง แนวโน้มคนจะมีสติปัญญาลดลง อย่างที่พูดมามีสิ่งหนึ่งที่จะมีความฉลาดมากขึ้น สิ่งนั้นคือคอมพิวเตอร์หรือปัญญาประดิษฐ์ ปัญญาประดิษบ์ฉลาดขึ้นเรื่อยๆ เดี๋ยวนี้สามารถที่จะบอกได้ว่าใครเป็นเกย์รักร่วมเพศ หรือใครเป็นผู้ชายที่รักเพศตรงข้าม ดูจากภาพถ่ายก็ทายได้ถูกต้องกว่า 90 เปอร์เซ็นต์ คนเรายังทายได้แค่ 60 เปอร์เซ็นต์ แต่ปัญญาประดิษฐ์ทายถูกต้องได้กว่า 90 เปอร์เซ็นต์ แล้วต่อไปมันก็จะทายได้เพียงแค่ดูว่าหน้าตาว่าคนนี้นิยมความคิดทางการเมืองแบบไหน ดูหน้าสามารถจะบอกได้ว่าเป็นซ้ายหรือขวาเป็นเหลืองหรือแดง ตอนนี้เขาบอกได้ว่ารสนิยมทางเพศเป็นแบบไหนดูจากหน้าตาหรือภาพถ่าย รวมถึงดูได้ว่าเป็นโรคอะไรโดยเฉพาะโรคทางกรรมพันธุ์ สามารถจะบอกได้จากการสแกนหน้าหรือสแกนภาพ
เรื่องนี้เป็นความก้าวหน้าของปัญญาประดิษฐ์ที่มีการพัฒนาขึ้นเรื่อยๆ ฉลาดขึ้นเรื่อย มันแต่งเพลงเองได้แล้ว เขียนนิยายได้แล้ว สามารถจะคุยโต้ตอบกับเราได้ โดยที่เราไม่รู้ด้วยว่าที่เราคุยไม่ใช่คนแต่เป็นปัญญาประดิษฐ์ คุยไปคุยมามันบอกได้ด้วยว่าเรานิสัยอย่างไร มันบอกได้ว่าเรามีแนวโน้มทางการเมืองแบบไหน มันบอกได้จากการคุยกัน แนวโน้มคือปัญญาประดิษฐ์จะฉลาดมากขึ้น ขณะที่คนมีแนวโน้มจะโง่ลงๆ เพราะว่าใฝ่รู้น้อยลงใฝ่เสพมากขึ้น เวลาหมดไปกับการเสพความบรรเทิง อ่านหนังสือน้อยลง แล้วอย่างนี้จะไปลงเอยที่ไหน สิ่งนี้เป็นเรื่องที่น่าเป็นห่วง แต่เอาเฉพาะใกล้ตัวคือลูกหลาน ทำอย่างไรจะให้ใฝ่รู้มากขึ้นใฝ่เสพให้น้อยลง เรื่องนี้เป็นการบ้านที่คงต้องไปใคร่ครวญ แต่ต้องเริ่มจากตัวเองก่อน ตัวเราเองต้องใฝ่เสพให้น้อยลง ใฝ่รู้ไม่ว่าจะรู้เรื่องนอกตัวหรือรู้เรื่องจิตเรื่องใจตัวเองสำคัญมาก แล้วจะมีความสุขง่าย สมัยนี้อยู่สบายแต่เป็นสุขยากขึ้นๆ แต่จะสุขให้ง่ายอย่างไรค่อยไปว่ากัน