พระอาจารย์ไพศาล วิสาโล วัดป่าสุคะโต แสดงธรรมก่อนฉันเช้าวันที่ 24 กุมภาพันธ์ 2567
วันนี้เป็นวันพิเศษสำหรับพวกเราโดยเฉพาะชาวพุทธ เป็นวันที่เตือนให้ระลึกถึงพระพุทธเจ้าผู้เป็นศาสดาของเรา แล้วก็ชวนให้เราอยากจะเข้าวัดเพื่อทำบุญ ถวายภัตตาหาร ฟังธรรม รักษาศีล รวมทั้งเวียนเทียนด้วย
พูดง่ายๆ ถือว่าเป็นวันที่เตือนให้เรานึกถึงบุญและการประพฤติธรรม เรื่องการทำบุญทำความดี รวมทั้งการประพฤติธรรมเป็นสิ่งสำคัญของชีวิตที่สำคัญไม่น้อยไปกว่าข้าวปลาอาหารหรือปัจจัย 4 อาจจะสำคัญยิ่งกว่าก็ได้
เพราะว่าคนที่มีปัจจัย 4 กินอิ่มนอนอุ่น พรั่งพร้อมด้วยวัตถุทรัพย์สมบัติ แต่ถ้าหากว่าจะไม่สนใจเรื่องบุญ มองข้ามการประพฤติธรรมแล้วก็อาจจะมีความทุกข์ ถึงขนาดว่าไม่อยากจะอยู่เลย อยากจะตายให้ได้ หรือบางทีก็ลงมือชิงทำร้ายตัวเองก็มี
ในขณะที่คนจำนวนมากขาดแคลนอาหาร หิวโหย แต่ว่าเขาเห็นคุณค่าของชีวิต แล้วก็อาศัยบุญอาศัยธรรมนี้หล่อเลี้ยงจิตใจ จนกระทั่งสามารถที่จะมีความสุขได้ แม้ปัจจัย 4 จะบกพร่องขาดแคลน
ฉะนั้น การที่มีวันพิเศษที่เตือนให้ระลึกถึงการทำบุญประพฤติธรรมจึงมีความสำคัญมาก ซึ่งวันพิเศษอย่างนี้ชาวพุทธก็มีไม่กี่วัน นอกจากวันมาฆบูชาคือวันนี้แล้วก็มีวันวิสาขบูชา วันอาสาฬหบูชา
ทุกวันนี้เรามีวันพิเศษมากมายในรอบปี ตั้งแต่วันพ่อ วันแม่ วันลูก วันผู้สูงอายุ วันคนชรา วันสิ่งแวดล้อมโลก วันรัฐธรรมนูญ วันของผู้พิการ วันสำหรับผู้ไร้บ้าน นี่เป็นวันที่สหประชาชาติรับรอง ก็คือถือปฏิบัติกันทั่วโลก บางทีมีแม้กระทั่งวันสำหรับหมา สำหรับแมว สำหรับสัตว์ที่กำลังตกทุกข์ได้ยาก วันพิเศษมีเยอะในรอบปี อาจจะรวมแล้วก็มีถึง 100-200 กว่าวัน
แต่วันพิเศษวันนี้สำหรับเรา มันแตกต่างกับวันอื่นๆ อย่างไร วันพิเศษที่พูดมา วันพ่อ วันแม่ วันผู้สูงอายุ วันสิ่งแวดล้อมโลก หรือแม้แต่วันรัฐธรรมนูญ วันประชาธิปไตย ก็สำคัญทั้งนั้นที่เขาจึงจัดให้เป็นวันพิเศษเพื่อเตือนใจเรา แต่ว่าวันมาฆบูชานี้ที่ว่าเป็นวันพิเศษแตกต่างจากวันอื่นๆ อย่างไร
มันแตกต่างตรงที่ให้เราระลึกถึงความสำคัญของความสงบ เรียกว่าเป็นวันแห่งความสงบก็ได้ เราจำเป็นต้องมีวันแบบนี้ เพราะไม่เช่นนั้นชีวิตเราก็จะไหลไปตามกระแส หมกมุ่นกับการทำมาหากิน พยายามทำงานให้เสร็จไปวันๆ หรือพยายามวิ่งให้ทันเส้นตาย หรือไม่ก็ดูแลครอบครัว มิฉะนั้นก็เอาแต่เที่ยวสนุกสนาน
ถ้าเราปล่อยชีวิตให้ผ่านไปแต่ละวันๆ แบบนี้ เราก็จะขาดสิ่งสำคัญของชีวิตไป จึงต้องมีวันพิเศษที่จะเตือนให้เราระลึกถึงความสำคัญของความสงบ และเห็นว่าความสงบเป็นสิ่งที่เราเข้าถึงได้ เริ่มจากความสงบทางกาย ความสงบทางกายคือไม่ทำร้าย ไม่เบียดเบียน ซึ่งอันนี้เป็นธรรมะข้อสำคัญข้อหนึ่งในโอวาทปาฏิโมกข์ซึ่งเป็นคำสอนเนื่องในวันมาฆบูชา
กายสงบด้วยการไม่เบียดเบียน ไม่ทำร้าย แล้วก็เติมด้วยการนอนการนั่งในที่อันสงัด พอสงบกายแล้ว ก็สงบวาจาคือไม่พูดร้าย ไม่พูดส่อเสียด เป็นต้น สงบวาจาแล้ว สงบกายแล้ว ยังไม่พอ แม้ว่าจะดี ต้องสงบใจด้วย ทำใจให้สงบ
ทีแรกสงบเพราะว่าได้ทำบุญทำกุศล แต่ต่อมาสงบเพราะว่าได้ประพฤติธรรม ได้ฝึกจิตฝึกใจ ให้รู้จักปล่อยรู้จักวาง หรือว่ามีเครื่องรักษาใจ เครื่องรักษาใจนี้เราก็เรียกว่าธรรมะ
เรามีสิ่งรักษากายมากมายแล้ว ไม่ว่าจะเป็นบ้าน เสื้อผ้าเครื่องนุ่งห่ม เดี๋ยวนี้มีแม้กระทั่งอุปกรณ์อำนวยความสะดวก เช่น เครื่องทำความเย็น เครื่องปรับอากาศ เครื่องฟอกอากาศ แต่ว่าสิ่งที่จะช่วยรักษาใจเรามีหรือเปล่า
วันมาฆบูชาเป็นวันพิเศษตรงนี้ คือเตือนให้เราเห็นความสำคัญของการดูแลรักษาใจให้สงบ ให้ปลอดจากความทุกข์ ไม่ใช่แค่ทำดีเท่านั้น ทำดีก็สำคัญการไม่ทำบาปทั้งปวง การทำกุศลให้ถึงพร้อม อันนี้ก็เป็นธรรม 2 ข้อในโอวาทปฏิโมกข์ในวันมาฆบูชา
แต่ข้อที่ 3 สำคัญที่ไม่ควรลืม แต่ก็ลืมบ่อย การชำระจิตของตนให้ขาวรอบ 3 ข้อนี้รวมเป็น 2 คือทำดี กับทำใจให้ดี
ทำดีนั้น เมื่อทำดีด้วยกาย ด้วยวาจาแล้ว ข้อต่อมาคือ ทำใจให้ดี ซึ่งสำคัญ เพราะว่าแม้เราจะทำดีแค่ไหน แต่ถ้าเราไม่รู้จักทำใจให้ดี จิตใจเราก็เป็นทุกข์ได้ ทุกข์เพราะยังทำความดีไม่พอ
ทุกข์เพราะว่าทำดีแล้วคนไม่เห็น เช่น ลูกไม่รู้ว่าพ่อทำดี เสียสละ ลูกไม่รู้ว่าแม่เสียสละกับลูกแค่ไหน ลูกเลยไม่รักพ่อไม่รักแม่ แม่ก็น้อยใจ แม่ก็เสียใจ พ่อก็โมโหโกรธเกรี้ยว นี่เรียกว่าทำดีทำหน้าที่แล้ว แต่ว่าไม่รักษาใจให้ดีด้วย
แต่ถ้ารักษาใจให้ดี ใครจะไม่เห็นความดีของเรา ใครจะนินทาว่าร้ายเรา เราก็ยังปกติสุขได้ แม้กระทั่งในเวลานี้ อากาศร้อนหน้าร้อน ใครๆ ก็บ่นว่าร้อน แต่อากาศร้อนก็จริง ใจไม่ร้อนทำได้ อย่าปล่อยให้ใจร้อนเพราะอากาศร้อน อากาศร้อนเพราะเป็นธรรมดาของหน้าร้อน แต่ใจไม่ร้อนทำได้
อากาศจะหม่นมัวเพราะว่ามีฝุ่นเยอะ แต่ไม่ได้แปลว่าใจเราต้องหม่นหมองไปด้วย ใจเราไม่หม่นหมองก็ได้ อากาศจะหม่นมัวฝุ่นเยอะ แต่ว่าใจเราไม่มีฝุ่น ไม่มีความหมองมัวมารบกวน ผ่องใสอยู่เสมอ นี่คือสิ่งที่ทำได้ ถ้าไม่มัวแต่หรือสนใจแต่ทำดีทำบุญ แต่ว่าเราฟังธรรมปฏิบัติธรรม จนกระทั่งมีเครื่องรักษาใจให้ผ่องใสอันนี้เพราะว่าเราทำดีด้วยแล้วก็รักษาใจให้ดีด้วย
วันมาฆบูชานี้ก็เป็นวันพิเศษตรงนี้ที่มาเตือนใจให้เราเห็นถึงคุณค่าของความสงบ ความสงบหมายถึงชีวิตที่สงบ สงบด้วยกาย สงบด้วยวาจา และสงบด้วยใจ เพราะฉะนั้นถ้าหากว่าเราเห็นความสำคัญของวันนี้ แล้วก็พยายามทำความดีและประพฤติธรรม
และตามธรรมเนียม ก็มีการเวียนเทียนด้วย ที่นี่ก็เวียนเทียนเหมือนกัน แต่ว่าอยากจะเชิญชวนให้เราเวียนเทียนกันด้วยกล้าไม้ แทนที่จะเวียนเทียนด้วยดอกไม้ธูปเทียน ซึ่งพอเวียนเทียนเสร็จก็ทิ้งกลายเป็นขยะ วันนี้ขยะหลายตัน หลายร้อยตันเลยที่เกิดจากดอกไม้ธูปเทียนที่เรานำมาบูชาพระแล้วก็กลายเป็นขยะในเวลาต่อมา
ถ้าเราเวียนเทียนด้วยกล้าไม้หรือด้วยต้นไม้นอกจากเป็นการบูชาคุณพระพุทธเจ้าและก็ยังเป็นการส่งเสริมธรรมก็คือเอาต้นไม้ไปปลูกให้เกิดความสงบร่มรื่น เป็นรมณีย์ตามคติของพุทธศาสนาว่า สถานที่ถ้าเป็นรมณีย์ชีวิตก็จะสงบเย็น เปี่ยมด้วยความสุข วัดจึงเป็นสถานที่รมณีย์หรือรมณียสถานคือมีต้นไม้ร่มรื่น แต่เดี๋ยวนี้นี่มันขาดหายไปเสียแล้ว ความรมณีย์ความร่มรื่น
เราก็ใช้โอกาสนี้มาเวียนเทียนด้วยต้นไม้ นอกจากระลึกถึงบุญคุณของต้นไม้ที่ช่วยอำนวยให้พระพุทธเจ้าได้ตรัสรู้เห็นแจ้งในสัจธรรมแล้ว เราก็มาส่งเสริมธรรมของพระพุทธองค์ด้วยการเพิ่มพื้นที่สีเขียวให้มากขึ้น
สร้างสถานที่ให้เป็นรมณีย์ด้วยการปลูกต้นไม้เยอะๆ ไม่ใช่เฉพาะที่วัด แต่ที่สาธารณะหรือว่าแม้กระทั่งที่บ้านของเรา แล้วก็จะได้ช่วยกันลดขยะ ลดมลภาวะ ลดฝุ่นในอากาศซึ่งตอนนี้มันมากเหลือเกิน
เพราะฉะนั้นใครที่ว่างมาเวียนเทียนก็มาเวียนเทียนด้วยต้นไม้ ไม่ใช่เฉพาะที่นี่ หลายวัดในกรุงเทพฯ แล้วก็ในต่างจังหวัด เชิญชวนให้ญาติโยมมาเวียนเทียนด้วยต้นไม้ บางวัดถึงกับจัดต้นไม้มาให้เลยเพื่อให้ญาติโยมสะดวก ตอนนี้ กทม. นี้ก็เหมือนกัน รณรงค์ให้ผู้คนเวียนเทียนด้วยต้นไม้ เพื่อทำให้กรุงเทพมหานครเป็นที่ที่ร่มรื่นเป็นรมณีย์ เป็นที่ที่น่าอยู่ นับว่าเกิดประโยชน์ทั้งทางโลกและทางธรรม ทั้งทางกายและทางใจ
จึงขอเชิญชวน ไม่ว่าอยู่ที่ใดเมื่อคิดจะไปเวียนเทียนที่วัดแล้วก็ให้นึกถึงการเวียนเทียนด้วยต้นไม้.