พระอาจารย์ไพศาล วิสาโล วัดป่าสุคะโต แสดงธรรมก่อนฉันเช้าวันที่ 9 พฤศจิกายน 2567
มีคลิปวิดิโอหนึ่งน่าสนใจ เป็นการสนทนาในรายการหนึ่งชื่อว่าคุยกับอุ๋ย คืออุ๋ย บุดด้าเบลส รายการนี้มีมาหลายปีแล้ว แต่คลิปนี้ได้ดูเมื่อไม่กี่วันก่อน เป็นการสนทนากับผู้หญิงคนหนึ่งชื่อพลอย อายุประมาณ 32 ที่น่าสนใจเพราะว่า เธอเป็นมะเร็งเมื่ออายุประมาณ 30 ลูกก็ยังเล็ก ยังไม่ทันเข้าเรียนเลย
มะเร็งที่เกิดกับเธอมันก็กระจายไปแล้ว กระจายไปตามส่วนต่างๆ ของร่างกาย แต่เธอก็มีสีหน้าที่ผ่องใส เวลาคุยก็คุยแบบสบายๆ ไม่มีวี่แววของคนที่มีความทุกข์ ไม่มีความเครียดให้เราเห็นเลย บางครั้งก็ยิ้ม หัวเราะ ดูแล้วเหมือนคนปกติ อาจจะดูสบายกว่าคนปกติด้วยซ้ำ
เธอบอกว่ามะเร็งให้อะไรกับเธอหลายอย่าง เธอบอกว่าถ้าเธอย้อนกลับไปได้ก็ยังอยากเป็นมะเร็งเหมือนเดิม เป็นคำพูดที่คงไม่มีใครคิดว่าจะออกมาจากปากของผู้หญิงคนหนึ่งซึ่งมีลูกยังเล็ก
หลายคนมักพูดว่ามะเร็งคือโชคเคราะห์ หรือเหมือนกับการตัดสินชะตากรรม บางคนไม่อยากพูดถึงมะเร็งเลย ถ้าย้อนกลับไปได้ก็จะทำอะไรต่ออะไรมากมายเพื่อจะได้ไม่เป็นมะเร็ง ออกกำลังกาย กินอาหารสุขภาพ หรือว่าลดความเครียดให้น้อยลง
แต่พลอยกลับบอกว่า ถ้าย้อนกลับไปได้ก็ยังอยากเป็นมะเร็งเหมือนเดิม เพราะว่ามะเร็งให้อะไรกับเธอมากมาย ทำให้เธอได้ไปไกลกว่าเดิม ไปไกลอย่างไร ไปไกลถึงขนาดที่ว่าทำให้ได้รู้จักความทุกข์ของตัว แล้วรู้ว่าความทุกข์จำนวนมากเกิดจากใจ เกิดจากความคิด ความคิดที่ไปจมอยู่กับอดีต เศร้าโศกเสียใจกับเรื่องของแม่ที่จากไปเพราะมะเร็งเหมือนกัน หรือว่าทุกข์เพราะเครียดวิตกกังวลกับอนาคต
เธอบอกว่ามะเร็งทำให้เธอจัดการกับความคิดของตัวเองได้ดีขึ้น เธอพบว่าจริงๆ แล้ว คนเราป่วยกายแต่ว่าใจไม่ป่วยก็ได้ แต่ทำไมใจถึงป่วย ป่วยเพราะความคิด ความคิดที่ไม่อยู่กับปัจจุบัน ความคิดที่จับจ้องมองเห็นแต่ความทุกข์ รวมทั้งความยึดติดถือมั่นในสิ่งต่างๆ
เธอบอกว่า ถ้าเธอไม่เป็นมะเร็ง เธอคงจะเป็นบัวใต้น้ำเหมือนแต่ก่อน ไม่รู้จักจิตใจของตัว ไม่รู้จักความทุกข์ของตัว เอาแต่ฟาดฟันกับคนอื่น มีความทุกข์ก็กลบซ่อนความทุกข์เอาไว้ แทนที่จะรับมือกับมัน
การสนทนาของเธอกับอุ๋ยนี่ เรียกว่าน่าสนใจตลอดทั้งชั่วโมงครึ่งเลย เพราะว่าความทุกข์ที่เกิดขึ้นกับเธอ จะว่าไปก็หนักหนาสาหัสมากสำหรับคนที่เป็นแม่ลูกอ่อน นอกจากไม่แน่ใจกับอนาคตของตัวว่าจะตายเมื่อไหร่ แล้วก็ยังมีลูกที่จะต้องใส่ใจ ห่วงใย
แต่เธอก็วางใจได้ดี แล้วก็เป็นบทเรียนให้กับผู้คนได้มาก ทั้งที่เธอก็ไม่ได้ปฏิบัติธรรมแบบอุกฤษฏ์ ไม่สนใจกับเรื่องการปฏิบัติธรรมเลย แต่มะเร็งนี้ทำให้เธอหันกลับมาสนใจธรรมะ แล้วก็ไม่ได้สนใจแต่เพียงแค่ว่า มาปฏิบัติตามรูปแบบ แต่ว่าหันมาใคร่ครวญ มองชีวิต มองความคิดและอารมณ์ที่เกิดขึ้น
เธอพบว่าความคิดเป็นตัวการที่สำคัญ ซึ่งที่จริงแล้วก็รวมไปถึงจิตใจ อาการของจิตใจด้วย เรียกได้ว่าเธอเป็นคนที่เรียนรู้อะไรได้มากมายจากความทุกข์
ธรรมดาคนเรามีความทุกข์ ก็จะหนี หนีความทุกข์อย่างที่เธอเรียกว่าฝังกลบความทุกข์ ตอนแรกเธอก็คิดจะหนีเหมือนกัน เพราะว่าเธอก็ไม่อยากจะคิดถึงเรื่องการเป็นมะเร็ง เศร้าโศกเสียใจ ทำไมต้องเป็นฉัน ๆ แต่ตอนหลังตั้งหลักได้ ตั้งสติได้ แล้วก็ทำให้หันมาสนใจใคร่ครวญความทุกข์ของตัว
การพิจารณาโดยที่เธอไม่รู้ว่า สิ่งที่เธอทำนี่ก็คือการใช้หลักอริยสัจ 4 แต่ตอนหลังเธอก็บอกว่าเป็นเพราะอริยสัจ 4 ที่ทำให้เธอได้เข้าใจความทุกข์ของตัว
คนเราพอมีความทุกข์มักจะหนี แต่บางคนก็พยายามหาหนทางออกจากทุกข์ พอคนเราหาทางออกจากทุกข์ ก็มาใคร่ครวญ จนพบความจริงว่า ป่วยกายแต่ใจไม่ป่วยก็ได้ ที่ป่วยใจเพราะอะไร เพราะว่าใจที่ไม่อยู่กับปัจจุบัน ใจที่ยึดติดถือมั่น ใจที่มองเห็นแต่ความทุกข์ ไม่รู้จักมองเห็นความสุขที่มีอยู่รอบตัว
ขนาดป่วยอย่างนี้เธอก็ยังรู้จักหาความสุข ไม่ใช่จากการกินดื่มเที่ยวเล่น แต่จากการมองชีวิตในมุมใหม่ แล้วก็พบว่า สิ่งที่เธอมีอยู่ เป็นอยู่ตอนนี้ มันก็มีความสุขให้เธอได้เก็บเกี่ยว หรือว่าชื่นชมได้
อันนี้ก็เลยเป็นแง่คิดสำหรับคนที่เจ็บป่วยอยู่แล้ว หรือแม้กระทั่งไม่เจ็บป่วย แต่ก็น่าจะใคร่ครวญ เพราะว่าความทุกข์ความเจ็บป่วย รวมทั้งความพลัดพรากสูญเสีย มันต้องเกิดขึ้นกับเราแน่นอนในวันข้างหน้า ไม่มีใครหนีพ้น รวมทั้งความตายด้วย
แต่ถ้าเรารู้จักวางใจให้ถูก เข้าใจความจริงของชีวิต เข้าใจจิตใจของตัวเอง โดยเฉพาะเข้าใจความทุกข์ของตัวเอง ก็สามารถจะออกจากทุกข์ หรือว่าเป็นอิสระจากความทุกข์ได้.