พระอาจารย์ไพศาล วิสาโล วัดป่าสุคะโต แสดงธรรมก่อนฉันเช้า วันที่ 8 พฤศจิกายน 2567
มีลูกศิษย์ของหลวงปู่มั่นท่านหนึ่งชื่อหลวงพ่อทองรัตน์ ท่านเป็นพระที่ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ แต่ว่าท่านมีกิริยาอาการโผงผาง ดูภายนอกไม่ค่อยเรียบร้อย แต่ว่าจิตของท่านนิ่งมีเมตตา
มีคราวหนึ่งท่านบิณฑบาตอยู่ที่หมู่บ้านแห่งหนึ่ง ซึ่งก็คงจะจำวัดอยู่ที่นั่นพักใหญ่ หรืออาจจะจำพรรษาด้วย เวลาท่านออกไปบิณฑบาต ชาวบ้านคนไหนที่ท่านเห็นว่าเป็นคนตระหนี่ ท่านก็จะชวนให้ใส่บาตร ก็คงมีหลายคนที่ท่านชวนหรือเรียกให้มาใส่บาตรเพื่อจะได้ลดความตระหนี่
จู่ ๆ วันหนึ่งขณะที่ท่านบิณฑบาตตามปกติ มีชาวบ้านคนหนึ่งหย่อนกระดาษใส่ในบาตรของท่าน มันคือบัตรสนเท่ห์ ท่านก็รู้ พอถึงวัดท่านก็เรียกเณรมา ส่วนท่านก็ห่มจีวรผ้าสังฆาฏิอย่างดี เหมือนกับว่ามีเรื่องสำคัญ
พอเณรมาท่านก็ยื่นบัตรสนเทศให้ “เอ้า ลูกเณรอ่าน อมฤตธรรมแน่ นี่เทวดาเขาใส่บาตรมา หาฟังยากตั๋ว” เณรก็อ่าน ข้อความก็มีทำนองว่า “พระผีบ้า เป็นพระเป็นเจ้า แต่ไม่สำรวม ไม่มีศีล ไม่มีวินัย ประจบสอพลอขอของจากชาวบ้าน พระแบบนี้ถึงจะเหาะเหินเดินอากาศได้ ก็ไม่นับถือ ให้รีบออกจากวัดไป ถ้าไม่ไปจะเอาลูกตะกั่วมาแทน”
พอเณรอ่านเสร็จ ท่านก็พนมมือกล่าวสาธุเลย แล้วบอก “ของดีน่ะเนี่ย แต่ก่อนนี้เคยได้ยินแต่ว่าโลกธรรมแปดเป็นยังไง มีลาภ-เสื่อมลาภ มียศ-เสื่อมยศ มีสรรเสริญ-มีนินทา มีสุข-มีทุกข์ แต่วันนี้ ได้เห็นของจริงเลยน่ะ พ่อฟังแล้วก็เห็นแก่นธรรมล้วน ๆ เลย ..เก็บไว้ เอาเก็บไว้ใต้ฐานพระแท่นบูชา”
ท่านไม่ได้มีความโกรธเลย ท่านกลับมีความยินดีด้วยซ้ำ เพราะว่าได้แก่นธรรมหรืออมฤตธรรมจากเทวดา คนที่หยอดบัตรสนเท่ห์ให้ ท่านมองว่าเป็นเทวดา และบัตรสนเท่ห์ท่านมองว่าคืออมฤตธรรมหรืออมตธรรม
เรื่องนี้ให้ข้อคิดอยู่ 2 อย่าง อย่างแรกคือว่าคนเราไม่ว่าจะทำดีแค่ไหนก็ย่อมมีคนเข้าใจผิด คนที่ตำหนิท่าน เห็นว่าพระควรจะมีศีลมีธรรม พระไม่ควรจะขอข้าวชาวบ้าน ก็เรียกว่าประสงค์ดี อยากจะให้พระประพฤติตัวเรียบร้อย แต่ว่าเขาไม่เข้าใจท่าน
คนเราทำดีแค่ไหน ก็ย่อมมีคนเข้าใจผิด และไม่ว่าจะมีคนชื่นชมสรรเสริญอย่างไร ก็ย่อมมีคนตำหนิติเตียน ถึงขนาดเขียนบัตรสนเท่ห์มาให้ อันนี้คือสัจธรรม อย่างที่หลวงพ่อทองรัตน์ท่านว่า นี่คืออมฤตธรรมเลย มันคือแก่นธรรม ท่านเข้าใจเช่นนี้ ท่านจึงไม่โกรธ
ประการที่ 2 นั้น อันนี้ชี้ให้เห็นเลยว่า อะไรที่เกิดขึ้นกับเราจะดีหรือแย่ อยู่ที่ใจเรา อยู่ที่ท่าทีของเรา อยู่ที่มุมมองของเรา
ถ้าเรารู้จักมองบวก สิ่งที่เกิดขึ้นกับเราก็เป็นของดี ถ้าเรามองลบ สิ่งที่เกิดขึ้นกับเราก็เป็นของแย่ คำพูดหรือข้อเขียนที่เราได้ยินหรือได้อ่านนี้ ถ้าเรามองว่ามันคือคำต่อว่าด่าทอ เราก็ทุกข์ เราก็โกรธ แต่ถ้าเรามองว่ามันคือข้อเตือนใจ มันคือสัจธรรม มันคืออมฤตธรรม มันคือแก่นธรรม เราก็พลอยยินดี ไม่มีความทุกข์ มีแต่ได้ประโยชน์
อาจารย์ทองรัตน์ท่านเป็นแบบอย่างว่า อะไรเกิดขึ้นกับเราจะดีหรือร้ายอยู่ที่ใจเรา ไม่ใช่อยู่ที่ว่าดีหรือร้ายด้วยตัวมันเอง
ฉะนั้นเวลาที่เราเจออะไรถ้าเรารู้สึกทุกข์ เช่น รู้สึกโกรธ ก็เพราะเรามองว่ามันแย่ เรามองว่ามันไม่ดี เรามองลบ แต่สิ่งเดียวกันนั้นถ้าหากเรามองบวก มันก็จะกลายเป็นสิ่งดีได้
สำหรับบางคนแล้วบัตรสนเท่ห์คือสิ่งที่แย่ ได้รับแล้วก็ทุกข์ ทำดีแล้วก็ยังมีคนมาต่อว่า เกิดความน้อยเนื้อต่ำใจ เกิดความคับแค้นใจ อันนี้เป็นเพราะว่าเกี่ยวข้องกับมันไม่ถูกต้อง แต่ถ้าเกี่ยวข้องกับมันถูกต้อง มันจะไม่ใช่บัตรสนเท่ห์ แต่เป็นอมฤตธรรมเลย หรือถ้ายังมองไปไม่ถึงขนาดนั้นก็ให้มองว่าเป็นข้อเตือนใจ เป็นสัจธรรม
สัจธรรมก็คือสิ่งที่แสดงให้เห็นถึงโลกธรรม 8 มีสรรเสริญก็ย่อมมีนินทา ควบคู่กันไป อาจารย์ทองรัตน์นั้นเวลาใครมาเคารพกราบไหว้ท่าน ท่านก็ไม่ได้ยินดีเพราะท่านรู้ว่าคนที่ไม่เคารพท่าน คนที่คิดจะไล่ท่าน เอาลูกปืนไล่ท่านก็มี เพราะท่านรู้ว่าสรรเสริญกับนินทาเป็นของคู่กัน
หลายคนมองว่าสรรเสริญเป็นของดี แต่จะดีหรือไม่ อยู่ที่ใจเรา ถ้าเกี่ยวข้องกับมันไม่ถูกก็เกิดความเพลิดเพลินหลงใหล เกิดความหลงตัว ลืมตน ว่ากูเก่ง กูดี กูแน่ อย่างนี้ก็จะไม่ดีเพราะทำให้ประมาท เป็นตัวที่ขุดหลุมความทุกข์ให้กับเรา พอคนที่เคยชมเราแล้วเขาไม่ชมเรา เราก็ทุกข์เลย
เหมือนกับหลายคนที่โพสต์ Facebook, Instagram พอคนที่เคยกดไลค์ เขาไม่มากดไลค์ให้ก็ทุกข์เลย ทั้งที่เขายังไม่ทันคอมเม้นต์ด่าว่าเลย แค่ไม่กดไลค์เหมือนเคย ก็ทุกข์แล้ว นี่เพราะอะไร เพราะไปเคลิบเคลิ้มยินดีในคำชม เลยกลายเป็นไม่ดีไป เพราะมันเป็นตัวพาให้เราทุกข์
ในทางตรงข้าม แม้จะเจอคำตำหนิแต่มองว่าเป็นข้อเตือนใจ นี่คืออมฤตธรรม ก็จะกลายเป็นของดีขึ้นมาได้ และคนที่พูดนี้ไม่ใช่ศัตรูแล้ว แต่เป็นเทวดาเลย
เพราะฉะนั้นให้เราตระหนักเรื่องโลกธรรม 8 ทำดีแค่ไหนก็ย่อมมีคนไม่เข้าใจ บางทีก็ตำหนิ บางทีก็ใส่ร้าย นี่ประการที่หนึ่ง และประการที่สอง อะไรจะดีหรือไม่ล้วนอยู่ที่ใจเรา สิ่งเดียวกันบางคนมองว่าไม่ดีจึงทุกข์ แต่บางคนมองว่าเป็นสิ่งดี ก็ไม่ทุกข์และได้ประโยชน์ด้วย
ดังนั้นเราจึงต้องหารู้จักหาประโยชน์จากสิ่งที่ใครๆมองว่าแย่ เช่น คำตำหนิ ติฉินนินทา รวมทั้งการเสื่อมลาภ เสื่อมยศ เหล่านี้ทางโลกถือว่าไม่ดี แต่ในทางธรรมอาจจะดีก็ได้ ถ้ามองให้เป็นหรือใช้ประโยชน์ให้ถูก.