PAGODA

  • Create an account
  • Forgot your username?
  • Forgot your password?
or

Connection

Your e-mail is required to ensure the proper functioning of the Website and its services and we make a commitment not to reveal it to third parties

  • หน้าแรก
  • ฐานข้อมูล
  • เสียง
  • วีดิทัศน์
  • E-Books
  • กิจกรรม
  • บทความ
PAGODA
  • หน้าแรก
  • ฐานข้อมูล
  • เสียง
  • วีดิทัศน์
  • E-Books
  • กิจกรรม
  • บทความ

เข้าสู่ระบบ / สมัครสมาชิก

เข้าสู่ระบบ

  • สมัครสมาชิก
  • ลืมชื่อผู้ใช้?
  • ลืมรหัสผ่าน?

Search

  • หน้าแรก
  • เสียง
  • พระอาจารย์ไพศาล วิสาโล
  • กายหายป่วยด้วยความรัก
กายหายป่วยด้วยความรัก รูปภาพ 1
  • Title
    กายหายป่วยด้วยความรัก
  • เสียง
  • 13307 กายหายป่วยด้วยความรัก /aj-visalo/183.html
    Click to subscribe
    • Share
    • Tweet
    • Email
    • Share
    • Share

ผู้ให้ธรรม
พระอาจารย์ไพศาล วิสาโล
วันที่นำเข้าข้อมูล
วันอังคาร, 17 ธันวาคม 2567
ชุด
ธรรมะสั้นๆ ก่อนอาหารเช้า 2567
  • แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [ลองพูดคุยกับ AI ทาง Line]

  • พระอาจารย์ไพศาล วิสาโล วัดป่าสุคะโต แสดงธรรมก่อนฉันเช้าวันที่ 5 พฤศจิกายน 2567
    เด็กชายคนหนึ่งเป็นเด็กที่บุรีรัมย์ ตอนอายุ 7 ขวบมีอาการปวดหัวมาก แม่ก็เลยพาไปหาหมอที่โรงพยาบาล ไปมาหลายแห่งแล้วก็ไม่หาย พออายุ 11 ขวบ อาการหนักขึ้น ปวดหัวรุนแรงจนอาเจียน แถมก็มีอาการตาพร่ามัว มองเห็นภาพซ้อน แม่เลยพาส่งโรงพยาบาล
    หมอพอทราบอาการก็สันนิษฐานว่าเนื้องอกในสมองเลยทำซีทีสแกน ปรากฎว่าไม่เจออะไรเลย ก็เลยคาดว่าจะมีปัญหาทางด้านจิตเวช เตรียมส่งต่อให้หมอจิตเวช
    ในระหว่างรอการส่งต่อ เด็กซึ่งกำลังแอดมิทอยู่ที่โรงพยาบาล ก็มีพยาบาลที่เห็นเหตุการณ์แล้ว ก็เป็นห่วงเพราะว่าถ้าเด็กคนนี้ไปให้หมอจิตเวชรักษา ก็เกรงว่าจะมีอาการหนักขึ้น เพราะเขาคงให้ยา แล้วยาก็คงจะทำให้เด็กมึนมากขึ้น
    พยาบาลคนนี้รู้ว่าการรักษาอาการทางจิตด้วยยา มันอาจจะเกิดผลเสียกับคนไข้หนักขึ้นกว่าเดิม อดรนทนทำไม่ได้ก็เลยไปหาพยาบาลรุ่นพี่ พยาบาลรุ่นพี่คนนี้ชื่อเกื้อจิต บอกว่า “พี่ช่วยมาดูเคสนี้หน่อย หมอเขาจะส่งไปให้จิตเวชตรวจ หนูกลัวว่าเดี๋ยวจะหนักกว่าเดิม”
    พยาบาลเกื้อจิตก็เลยไปเยี่ยมเด็กคนนี้ ตอนที่ไปก็พอดีแม่ของเด็กมาเยี่ยม เธอก็ยืนดูอยู่ห่างๆ สักพักหนึ่งก็เรียกแม่ของเด็กมาพูดคุยด้วย ถามว่าแม่มีลูกกี่คน แกตอบว่ามี 4 คน คนโตเรียนมหาวิทยาลัย สวย เรียนเก่ง คนที่สองก็กำลังอยู่ ม. 5 ก็เรียนดี คนที่ 3 ก็คนนี้คนที่ป่วยอยู่ ป. 5 ส่วนคนสุดท้องตอนนี้อยู่ ป. 2 8 ขวบ
    พยาบาลก็ถามว่า “รักลูกเท่ากันไหม” แม่ตอบรักเท่ากันสิ จะไม่รักท่ากันได้ไง พยาบาลก็ถามต่อไปว่า “แล้วด่าเท่ากันไหม” แม่ตอบ “ไม่เท่ากันหรอก คนอื่นฉันไมด่าเลยนะ มีไอ้นี่แหละมันดื้อ ฉันทั้งด่าทั้งตี เมื่อวันก่อน ก่อนที่จะมาโรงพยาบาล ฉันก็ด่ามัน แล้วก็ไล่มัน บอกมึงไปให้พ้นๆ หน้ากูซะ”
    พยาบาลถามต่อไป “แล้วเคยบอกรักลูกคนนี้หรือเปล่า” แม่ตอบ “ ไม่เคยหรอกมีแต่ด่ากับตี มันดื้อแล้วก็โง่ด้วย” “ขนาดครูนี่ ยังด่าว่ามันเหมือนวัวเหมือนควายเลย ไม่เก่ง ไม่เรียบร้อยเหมือนพี่สองคน”
    พยาบาลก็เลยถามแม่คนไข้ต่อ ขอฟังประวัติของแม่ เธอก็เล่าว่าพ่อแม่มีลูก 3 คน เธอก็มักจะถูกพ่อแม่ดุด่าอยู่เป็นประจำจนรู้สึกน้อยเนื้อต่ำใจ เพราะว่ากับลูกชาย แม่ไม่เคยว่า ไม่เคยตีเลย “มีแต่ฉันและที่ถูกว่าเป็นประจำ” พูดไปเธอก็ร้องไห้ แล้วก็เกิดคิดขึ้นมาว่า สิ่งที่เธอทำกับลูกชายคนนี้ มันก็แทบจะไม่ต่างจากที่พ่อแม่ทำกับเธอเลย
    เธอเริ่มได้คิดแล้ว พยาบาลก็บอก “ฉันมียาวิเศษนะ พรุ่งนี้พาลูกกลับบ้านได้เลย กลับไปถึงบ้านก็ให้แม่กอดลูกคนนี้ แล้วก็บอกว่ารักลูกนะ บอกตากับยายด้วยให้ทำแบบเดียวกันเลย”
    แล้วก็ไปบอกครูด้วยว่า “ทีหลัง ห้ามด่าว่าเป็นวัวเป็นควาย แล้วก็อย่าไปตีลูก อย่าไปตีเด็กนะ กล้าบอกหรือเปล่า ถ้าไม่กล้าเดี๋ยวฉันจะไปบอกเอง ถ้ากล้าแล้วครูไม่เชื่อก็บอกว่า พยาบาลเกื้อจิตสั่งมา”
    พยาบาลคนนี้ทำงานอยู่ที่นี่มานาน ใกล้เกษียณแล้วตอนนั้น ใครๆ ก็นับถือว่าเป็นพยาบาลที่ดี เอาใจใส่คนไข้ ครูคงจะรู้จักก็เลยให้แม่อ้างชื่อพยาบาลได้เลยว่า “ทีหลังครูอย่าด่าลูกนะว่าเป็นวัวเป็นควาย อย่าไปตีเขา”
    แม่คงจะทำตาม เพราะว่าคงสำนึกได้ว่า ที่ตัวเองทำกับลูกชายคนนี้ มันก็ไม่ต่างกับที่พ่อแม่เคยทำกับตัว ตัวเองไม่อยากจะให้พ่อแม่ทำกับตัวอย่างนี้ แต่ทำไมไปทำกับลูก เกิดได้คิดขึ้นมา แล้วก็คงจะทำตามที่พยาบาลบอก
    หนึ่งเดือนต่อมา พยาบาลก็ไปเยี่ยมบ้านของเด็กคนนี้ ปรากฏว่าเด็กหายป่วยแล้ว ไม่มีอาการปวดหัว ตาพร่ามัว ผ่านไปหลายปี จนเด็กคนนี้โตเป็นหนุ่ม ป่านนี้คงจะเกือบ 30 ปีแล้ว แข็งแรงแล้วก็ปกติ
    เรื่องนี้ก็เป็นเรื่องที่น่าสนใจ เด็กปวดหัว อาการรุนแรงจนอาเจียน ตาพร่ามัว เห็นภาพซ้อน มันไม่เกี่ยวกับร่างกายเลย ร่างกายปกติ แต่สิ่งที่ไม่ปกติคือจิตใจ รู้สึกว่าตัวเองไม่มีคุณค่า อาจจะเกลียดตัวเองก็ได้ ว่าพ่อแม่ไม่รัก โดยเฉพาะแม่ แม่ไม่รักแถมยังด่าว่า บางทีถึงกับไล่ให้ลูกไปไกลๆ “มึงไปให้พ้นกูนะ”
    แล้วเด็กก็สังเกต กับพี่กับน้องนี่ แม่ไม่เคย่ดาว่าเลย แต่กับตัวเองโดน อาจเป็นเพราะว่าเป็นเด็กผู้ชาย แล้วนิสัยของเด็กก็ดื้อ ส่วนเรื่องการเรียน จริงๆ เด็กอาจจะฉลาดก็ได้ แต่ว่าพอเจอท่าทีของแม่แบบนี้ก็เลยไม่เป็นอันเรียนหนังสือ หรืออาจจะหัวไม่ไวจริงก็ได้
    แต่ว่าเด็กแม้จะหัวไม่ไว ทำคะแนนไม่ดี อาจจะเก่งด้านอื่น ด้านศิลปะก็ได้ แต่แม่ไปใส่ใจหรือว่าให้คุณค่าเฉพาะเรื่องความฉลาด เรียนเก่ง แล้วพอเจอเด็กดื้อก็ยิ่งต่อว่า เด็กก็ยิ่งดื้อเข้าไปใหญ่ สุดท้ายพ่อแม่ขับไล่ไสส่ง เด็กก็เลยแย่
    ความทุกข์ทางใจของเด็กมันก็มีผลต่อร่างกาย และการเยียวยาบ่อยครั้งไม่ใช่เยียวยาด้วยยา แต่ว่าให้ความรัก ขนาดว่านี่เป็นเด็กที่บุรีรัมย์ ถ้าเป็นเด็กที่กรุงเทพฯ หลายคนก็คงจะเจอประสบการณ์คล้ายๆ กัน แต่อาการแสดงออกอาจจะแตกต่างกัน
    แล้วเด็กพวกนี้พอมีอาการเหล่านี้แล้ว พ่อแม่ก็ยิ่งไม่เข้าใจ ยิ่งระยะหลังยัดมือถือให้ลูก ยัดแท็บเล็ตให้ลูกแทนที่จะให้ความรักกับลูก ให้เวลากับลูก เด็กก็เลยมีอาการเพี้ยนเข้าไปใหญ่
    แต่ทั้งหมดนี้ก็น่าเห็นใจ เพราะว่าพ่อแม่โดยเฉพาะแม่ทำอย่างนี้กับลูก เพราะว่าเคยถูกแม่ของตัวเองพ่อของตัวเองทำกับตัวเอง ไม่ชอบให้พ่อแม่ทำกับตัวเองแต่ก็กลับส่งทอดการกระทำอย่างเดียวกันให้กับลูก
    อันนี้ก็เป็นสิ่งที่มักจะเกิดขึ้นอยู่บ่อยๆ เป็นเรื่องที่เตือนใจได้ดีกับคนที่เป็นพ่อเป็นแม่ว่า ความรักของพ่อแม่สำคัญมากกับลูก ไม่ใช่ต่อจิตใจอย่างเดียว แต่รวมถึงสุขภาพกายด้วย.

logo

  • เกี่ยวกับเรา
  • ติดต่อเรา
  • จดหมายข่าว
  • Privacy Policy
  • Terms of Service