แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
พระอาจารย์ไพศาล วิสาโล วัดป่าสุคะโต แสดงธรรมก่อนฉันเช้าวันที่ 13 ตุลาคม 2567
พวกเราหลายคน ส่วนใหญ่ก็ว่าได้ ถือว่าเป็นผู้มีโชค เพราะว่าสุขภาพดี ไม่เจ็บไม่ป่วย มีกำลังวังชา กินอิ่มนอนอุ่น การงานดี การเรียนราบรื่น พ่อแม่ใส่ใจห่วงใย พี่น้องสามัคคีกัน ไม่ทะเลาะเบาะแว้งกันหรืออิจฉากัน เพื่อนก็ดี เอาใจใส่ เอื้อเฟื้อ แนะนำในสิ่งที่ถูกต้องดีงาม มีครูบาอาจารย์ที่นำพาชีวิตไปในทางที่ถูกต้อง และมีกินมีใช้ ทั้งหมดนี้ถือว่าเป็นโชค เพราะถ้าขาดอะไรสักอย่างหรือสองอย่างก็อาจจะทุกข์ได้ แต่มีหลายคนที่ไม่ได้รู้สึกเลยว่าตัวเองเป็นคนโชคดี คนที่เป็นอย่างนั้นถือว่าโชคร้าย
โชคร้าย คือ มองไม่เห็นว่าตัวเองโชคดี จะโชคดีแค่ไหนแต่ถ้าโชคร้ายอย่างที่ว่าก็ไม่มีความสุข
คนที่โชคดีจริง ๆ คือคนที่มองเห็นว่าตัวเองเป็นคนโชคดี คนที่มีอะไรต่ออะไรมากมายแต่ยังรู้สึกน้อยเนื้อต่ำใจในโชคชะตา หรือว่าบ่นโวยวาย ตีโพยตีพาย ทั้งที่ตัวเองมีสิ่งดี ๆ หลายอย่าง ต้องถือว่าเป็นคนโชคร้าย แต่ที่จริงแล้วไม่ใช่เรื่องของโชค เป็นเรื่องของการรู้จักมอง คนที่เขามองเห็นว่าตัวเองโชคดีเพราะว่าเขารู้จักมองเห็นสิ่งดี ๆ ที่เกิดขึ้นกับตัวเองและพึงพอใจ พูดอย่างง่าย ๆ คือเป็นคนโชคดี โชคดีที่มองเห็นหรือรู้ว่าตัวเองโชคดี คนที่โชคดีแต่ไม่รู้ตัวเองโชคดี เท่านี้ก็ถือว่าโชคร้าย ถ้าใครอยากมีโชคจริง ๆ ต้องรู้จักมองให้เห็นว่าตัวเองโชคดี เพราะว่ามีสิ่งดี ๆ มากมายในชีวิต
มีหลายคนที่บ่นหรือตัดพ้อว่า ทําไมทำดีแต่ไม่ได้ดี ที่เขาตัดพ้ออย่างนี้เพราะเขาพบว่า ชีวิตฉันมีแต่สิ่งที่ไม่ดี แต่ที่จริงตัวเองมีสิ่งดี ๆ เยอะ จะเรียกว่าตัวเองโชคดีก็ได้ แต่ว่ามองไม่เห็น มองไม่เห็นโชคดีหรือสิ่งดี ๆ ที่ตัวเองมี จึงตัดพ้อว่า ชีวิตฉันทําไมแย่แบบนี้ ทำดีแล้วทําไมฉันไม่ได้ดี ที่ดี ๆ จากการทำดี มี และเกิดขึ้นแล้ว และจะเกิดขึ้นต่อไป แต่มองไม่เห็น แบบนี้มีเยอะ สิ่งดี ๆ ที่เกิดขึ้นจากการทำความดีมีอยู่ เช่น ไม่เจ็บไม่ป่วย มีสุขภาพดี กินอิ่มนอนอุ่น แต่โชคร้ายตรงที่มองไม่เห็น อย่างที่บอก ไม่ได้โชคร้ายจริง เป็นเพราะเราไปฝึกมองในทางลบทางร้ายจนไม่สามารถจะมองเห็นสิ่งดี ๆ ที่เกิดขึ้นกับชีวิตของตนได้ นั่นคือเหตุผลประการหนึ่งที่ทำให้หลายคนบอกว่า ทําไมฉันทำดีแต่ไม่ได้ดีเลย ทำดีไม่ได้ดี
อีกเหตุผลหนึ่งคือว่า สิ่งไม่ดีที่เกิดขึ้นกับตัวเอง ลองพิจารณาดู อาจจะเป็นเพราะเราทำบางอย่างที่ไม่ดีก็ได้ ความดีที่เราทำส่งผลให้เกิดสิ่งดี ๆ ขึ้นกับเรา ส่วนสิ่งไม่ดีเกิดขึ้นจากการกระทำบางอย่างที่ไม่ดีของเรา คนเราปุถุชนไม่มีใครที่ทำดีร้อยเปอร์เซ็นต์ ส่วนใหญ่ทำดีมากกว่า 50 เปอร์เซ็นต์ อาจจะ 60-70 เปอร์เซ็นต์ แต่มี 30 เปอร์เซ็นต์ที่ไม่ดี อย่างเช่น บางคนรักษาศีล 5 ครบ ดูแลพ่อแม่ดี เอาใจใส่ญาติมิตร แต่ว่าเป็นคนชอบจู้จี้ขี้บ่น ชอบนินทาเพื่อน หรือว่าชอบเรียกร้องคาดคั้นจากคนอื่น ตรงนี้จึงทำให้ไม่ค่อยมีคนอยากจะคบหาด้วย ไปขอความช่วยเหลือจากใคร เขาก็ไม่สนใจ อันนี้ไม่เกี่ยวกับการทำความดีของเรา ที่เราทำดีก็ส่งผลดีอยู่แล้ว การที่เรารักษาศีล การที่เราช่วยเหลือดูแลพ่อแม่ก็ส่งผลดีกับเรา แต่สิ่งที่เรามองว่าไม่ดี เพราะการกระทำไม่ดีบางอย่างของเรา เราต้องยอมรับความจริงว่า คนเราไม่ใช่ว่าจะทำความดีร้อยเปอร์เซ็นต์ บางอย่างเราทำดี แต่บางอย่างเราก็ไม่ดี
เพราะเราเป็นปุถุชน มีกิเลส บางครั้งขาดสติ บางครั้งสั่งสมนิสัย เช่น จู้จี้ขี้บ่น หรือว่าชอบไปเจ้ากี้เจ้าการกับชีวิตของคนอื่น คนเขาจึงระอา ไม่ค่อยอยากจะคบหา เพราะฉะนั้นพอเดือดร้อน ไปพึ่งพาขอความช่วยจากใคร เขาจึงไม่ช่วย แบบนี้จะโทษว่าเป็นเพราะว่าทำดีแล้วไม่ได้ดีก็ไม่ใช่ คนละเรื่องกัน ต้องมองแยกแยะหรือใคร่ครวญว่าสิ่งที่เกิดขึ้นกับเราเกิดเพราะอะไร อย่าไปมองปนกัน อย่าไปมองแบบสับสน ถ้าเรามองแยกแยะจะพบว่า ความดีที่เราทำก็นําสิ่งดี ๆ มาให้กับชีวิตของเราหลายอย่าง อยู่ที่ว่าจะมองเห็นหรือเปล่า บางคนมีสิ่งดี ๆ เกิดขึ้นหรือว่ามีโชคดีเกิดขึ้นกับตัวเอง แต่มองไม่เห็น อันนี้เรียกว่า โชคร้าย ขณะเดียวกันสิ่งที่ไม่ดีก็เกิดขึ้นจากการกระทำไม่ดีบางอย่างของเรา ต้องมองให้เห็น และซื่อตรง อย่าไปมองว่า ทําไมฉันทำดีแล้วไม่ได้ดี
ไม่ว่าเราทำอะไรย่อมส่งผลในทางที่สอดคล้องกัน อันนี้เป็นกฎแห่งกรรม ทำดีย่อมได้ดี โดยเฉพาะดีที่ใจ แต่ถ้าทำไม่ดีก็เกิดสิ่งไม่ดีตามมา
เพราะฉะนั้น เวลามีสิ่งไม่ดีเกิดขึ้นกับเรา ลองสืบสาวดูว่าเป็นเพราะอะไร กลับมาดูที่พฤติกรรมของเราว่าทำอะไรหรือเปล่าที่ไม่ดี ที่ทำเกิดสิ่งไม่ดีขึ้นกับเรา อย่าไปเหมารวมว่าเราทำดีแล้วไม่ได้ดี ทำดีได้ดีแน่ อาจจะไม่ได้เกิดขึ้นวันนี้ อาจจะไม่ได้เกิดขึ้นเมื่อวาน อาจเกิดขึ้นพรุ่งนี้ อาจจะเกิดขึ้นวันหน้า อย่างที่เรารู้กัน การทำความดี อย่างเช่น ออกกําลังกาย บางคนเจ็บป่วยเป็นโรคหัวใจเพราะว่าไม่ค่อยออกกําลังกาย แล้ววันดีคืนดีกลับมาออกกําลังกาย เริ่มเดิน ใหม่ ๆ โรคหัวใจยังไม่หาย แต่ไม่ใช่ว่าการที่เราออกกําลังกายไม่มีผลดี มันมี แต่ว่าผลเกิดขึ้นอย่างช้า ๆ อาจจะต้องออกกําลังกายอย่างต่อเนื่องสัก 6 เดือน 1 ปี สุขภาพจึงจะกลับดีขึ้นมาได้ อย่าไปคิดว่าออกกําลังกายแล้วไม่มีผลดี มีแน่นอน แต่ว่าใช้เวลา
ความดีที่เราทำก็เหมือนกัน ย่อมเกิดผลดีกับชีวิตจิตใจของเรา แต่ว่าอาจจะยังไม่เกิดผล ปลูกต้นไม้จะไปเร่งให้ออกดอกออกผล ให้เติบโตไม่ได้ กว่าจะออกดอกออกผลบางทีก็หลายปี อย่าว่าแต่ออกดอกออกผลเลย แค่โตท่วมหัวก็ใช้เวลา อย่าไปคิดว่ารดน้ำทุกวัน ๆ ทําไมยังไม่โต ทําไมยังแค่เอวเท่านั้นเอง หรือบางทีบ่นว่า รดน้ำทุกวันแต่ทําไมยังไม่ออกดอกออกผลสักที ยังไม่ถึงเวลา แต่เมื่อถึงเวลามันออกมาแน่ ฉะนั้น มองให้ดี มองให้ถูกต้อง หรือว่ารู้จักมอง ซึ่งอันนี้เรียกว่าเป็นโชคก็ได้ จึงต้องรู้จักสร้างโชคให้เกิดขึ้นกับตัวเองด้วยการรู้จักมองสิ่งดี ๆ ที่เกิดขึ้นให้เห็น.