พระอาจารย์ไพศาล วิสาโล วัดป่าสุคะโต แสดงธรรมก่อนฉันเช้าวันที่ 8 ตุลาคม 2567
มีหมอคนหนึ่งเล่าว่า ตอนเธอสำเร็จการศึกษาใหม่ๆ ก็ได้ไปทำงานที่โรงพยาบาลแห่งหนึ่ง วันแรกที่เธอไปทำงานก็เห็นสำนักงานของแพทย์ เป็นสถานที่ที่เรียกว่าแห้งแล้งมาก คือว่ามีแต่ห้อง มีโต๊ะ เก้าอี้ แต่ไม่มีหน้าต่างเลย มองไม่เห็นอะไรข้างนอกเลย
เธอรู้สึกว่าบรรยากาศมันไม่ค่อยเกื้อกูลต่อการทำงานเท่าไหร่ เธอก็เลยเอาต้นไม้มาปลูกในสำนักงานของเธอ ทีแรกก็มาปลูกตรงใกล้ๆ โต๊ะของเธอแต่ว่า ดูแลต่อมาไม่นานก็ตาย เธอรู้สึกว่าบรรยากาศหรือสถานที่มันไม่ค่อยเอื้อต่อต้นไม้เลย แม้กระทั่งต้นไม้ยังตาย
แต่เธอก็ไปเอาต้นไม้ต้นใหม่มาแล้วก็ตั้งใจดูแลมันมากขึ้นแม้งานจะเยอะ ต้นไม้ก็สดชื่นเขียวขจี แล้วก็เติบโต ตอนหลังเธอก็เอาต้นไม้อีกต้นอื่นๆ มาปลูกด้วย ที่ทำงานเธอก็เลยดูมีบรรยากาศที่สดชื่น
แล้วเธอก็พบว่ามันไม่ดีต่อหมอที่มาอาศัยทำงานที่สำนักงานเท่านั้น เวลาคนไข้มาพบเธอก็มีหลายคนที่อาการหนักๆ แต่เวลาพอนั่งเก้าอี้ ยังไม่ทันคุยกับเธอเลย คนไข้ก็มองไปที่ต้นไม้ที่เธอปลูก แล้วก็พูดคุยเกี่ยวกับต้นไม้ก่อนที่จะพูดคุยกันเรื่องอาการ บางคนยังไม่ทันจะนั่งเก้าอี้เลย ก็หยุดดูต้นไม้
แล้วตอนหลังเธอก็พบว่า คนไข้หลายคนสนใจต้นไม้มาก เห็นต้นไม้แล้วจิตใจก็ผ่องใสเบิกบาน
ตอนหลังเธอก็ขยับขยายพื้นที่ที่อยู่รอบๆ ตึก เธอก็ทำแปลงเพาะต้นไม้ ปลูกต้นไม้ทำสวนเล็กๆ คนไข้ของเธอเวลาจะมาหาเธอก็เห็นต้นไม้ที่เธอปลูก หลายคนก็รู้สึกสบายใจ
บางคนก็ถามเธอว่า ขอกิ่งเอาไปเพาะชำได้ไหม แล้วเธอก็ยินดีเลยให้ไป แล้วก็คนไข้เหล่านี้ก็เอาต้นไม้ไปปลูก หลายคนก็เรียกว่าต้องปลุกปล้ำกับการปลูกต้นไม้ หลายๆ คนก็พยายามทำให้ต้นไม้มันเติบโตงอกงาม ออกดอก ใบที่เขียวขจี ดอกที่สวยงามก็ทำให้คนไข้รู้สึกดีขึ้น
แล้วเธอก็พบว่า คนไข้ที่มาหาเธอตอนหลังๆ นอกจากจะสนทนาโอภาปราศัยกับเธอได้อย่างราบรื่น แล้วก็ยังรู้สึกมีจิตใจสดชื่นด้วย ต้นไม้นี่เรียกว่าเป็นสะพานที่เชื่อมหมอกับคนไข้ คนไข้ก็เริ่มไว้วางใจตัวหมอ เพราะว่าคุยกันรู้เรื่อง เรื่องต้นไม้เรื่องดอกไม้
พอคนไข้วางใจแล้วก็เริ่มเปิดใจ คุยเรื่องต่างๆ ซึ่งบางทีก็เป็นปัญหาชีวิตที่สร้างความเครียด ความวิตกกังวล ความกลัว ซึ่งก็มีส่วนทำให้เกิดความเจ็บป่วย แล้วเธอพบว่าคนไข้มีความหวังกับการรักษามากขึ้น เป็นความหวังที่อาจจะเกิดจากต้นไม้ที่ตัวเองดูแลที่บ้านมันเติบโต
และมันไม่ใช่แค่ความหวัง แต่ว่าพลังชีวิตของคนไข้ก็เติบโตไปด้วย เพราะว่าคนเราเวลาดูแลต้นไม้ มันช่วยบำรุงต้นไม้ในใจของเราด้วย คนไข้บางคนไม่สนใจตัวเองเลยปล่อยให้ร่างกายเจ็บป่วย แต่พอเริ่มมาใส่ใจกับต้นไม้ ก็เริ่มที่จะมาใส่ใจกับตัวเอง เยียวยาอารมณ์จิตใจของตัวเอง อาการก็เลยค่อยๆ ดีขึ้นๆ หมอแนะนำอะไรก็เชื่อก็ฟัง แล้วนำไปปฏิบัติ
เรื่องนี้มันคล้ายๆ กับเรื่องราวของหมออีกคนหนึ่ง จริงๆ เธอเป็นหมอเด็ก แต่ว่าตอนหลังมีความรู้ความเชี่ยวชาญในการดูแลคนไข้ที่มีปัญหาด้านจิตใจ ผสมกับความเจ็บป่วยทางกายด้วย
มีคราวหนึ่งเธอดูแลคนไข้อยู่คนหนึ่ง อายุ 30 กว่าๆ เป็นผู้หญิง เป็นผู้หญิงที่เก่งมาก ทำงานหนัก ขยัน ผู้ชายนี่ก็สู้ไม่ได้ แต่ว่าเป็นโรคซึมเศร้าและวิตกกังวล
หมอก็พยายามให้กำลังใจ พยายามแนะนำ แล้วก็ให้ดูแลร่างกายด้วย แต่ก็ดีขึ้นไม่มาก ผ่านไปหลายเดือนหมอก็เลยอยากจะรู้จักเธอมากขึ้น ก็ให้เธอเล่าเรื่องชีวิตของเธอให้ฟัง
ความไว้วางใจที่เกิดขึ้นทำให้ในที่สุดเธอก็บอกกับหมอว่า ครั้งหนึ่งเธอเคยถูกคุกคาม ถูกล่วงเกินทางเพศรุนแรงด้วย สร้างบาดแผลให้กับเธอ แต่ว่าเธอก็ไม่ค่อยได้สนใจที่จะเยียวยาจิตใจ ปล่อยให้แผลมันเรื้อรัง
คุยไปคุยมาหมอก็เลยรู้ว่า คนไข้ไม่ค่อยสนใจที่จะดูแลตัวเองเท่าไหร่ เอาแต่ทำงาน อาจจะเพื่อกลบเกลื่อนความทุกข์ ก็เลยแนะนำว่า เอาต้นไม้ไปปลูกมั้ย คนไข้ตอนแรกก็งง หมอแทนที่จะให้ยากลับแนะนำให้ไปปลูกต้นไม้ แต่เธอก็เอาต้นไม้ไปปลูก แล้วต้นไม้ที่ปลูกเนี่ยมันก็ต้องการการดูแล ใหม่ๆ ต้นไม้มันก็เหี่ยว เพราะว่าดูแลยาก แล้วเธอไม่ค่อยใส่ใจ ตอนหลังเธอก็ใส่ใจกับมันมากขึ้น เพราะเห็นต้นไม้มันเหี่ยว แล้วก็อยากจะช่วยให้มันสดชื่นเบิกบาน
เธอก็คอยสังเกตว่าต้นไม้ต้องการอะไร เขามีปัญหาอะไร แล้วเธอก็ช่วยแก้ปัญหา โดยช่วยบำรุงต้นไม้ต้นนั้น แล้วสุดท้ายต้นไม้ตันนั้นที่แต่เดิมห่อเหี่ยว ก็ค่อยๆ แข็งแรงงอกงาม แล้วอดทนมากเลย ถึงเวลาหน้าหนาว หนาวจัดยังไงมันก็รอดนะ
แล้วสุดท้ายคนไข้ก็พบว่าตัวเองจริงๆ แล้วไม่ค่อยได้ใส่ใจตัวเองเท่าไหร่ การที่ได้ดูแลต้นไม้มันเหมือนกับการที่ได้เห็นตัวเอง สภาพของต้นไม้มันก็สะท้อนภาพของตัวเอง สภาพด้านจิตใจสภาพด้านในของตัวเอง และการที่เธอเอาใจใส่ดูแลต้นไม้ มันทำให้เธอหันมาสนใจดูแลจิตใจอารมณ์ของตัวเอง
ที่จริงต้นไม้นี่แค่ดูแลมันทำให้จิตใจเราสดชื่นเบิกบานแล้ว แต่ว่าความหมายมันลึกซึ้งกว่านั้น เพราะว่าสภาพต้นไม้มันสะท้อนถึงสภาพจิตใจ หรือสภาพด้านในของตัวเอง แล้วพอเห็นต้นไม้มันก็เห็นตัวเอง พอได้ดูแลต้นไม้ดีๆ มันก็เท่ากับบำรุงจิตใจ ทำให้เกิดพลังชีวิตขึ้นมา
เธอพบว่าการที่ดูแลต้นไม้มันช่วยฟื้นฟูพลังชีวิตของเธอได้มากเลย ตอนหลังเธอก็หายซึมเศร้าเลยนะ เพราะว่าได้อาศัยต้นไม้เป็นเพื่อน ชีวิตก็กลับมาดีเหมือนเดิม บาดแผลในจิตใจที่เคยปล่อยปละละเลยก็เยียวยามัน
อันนี้มันก็ชี้ให้เห็นพลัง หรืออานิสงส์ของต้นไม้และดอกไม้ว่ามันมีคุณค่าต่อจิตใจของเรามาก ไม่ใช่แค่ชื่นชมต้นไม้ของคนอื่นเท่านั้น แต่ถ้าเกิดว่าได้ลองปลูกด้วยตัวเอง เพราะจริงๆ แล้วต้นไม้ที่เราปลูกนั่นแหละมันสะท้อนถึงสภาวะจิตใจของเรา ถ้าเรารู้จักฟื้นฟูต้นไม้ ใส่ใจต้นไม้ ดูแลต้นไม้ดี มันก็ทำให้เราใส่ใจ ดูแลจิตใจของตัวเอง
แล้วถ้าเราดูแลต้นไม้ให้มันแข็งแรง สดชื่น มันก็ง่ายที่เราจะฟื้นฟูพลังชีวิตพลังจิตใจของเราให้เติบโต เป็นวิธีการเยียวยาที่น่าสนใจ มันมีคุณค่ายิ่งกว่ายาหรือว่าคำแนะนำของหมออีก ต้นไม้มีอะไรบางอย่างที่น่าอัศจรรย์มากทั้งต่อจิตใจแล้วก็ต่อร่างกายของเรา