พระอาจารย์ไพศาล วิสาโล วัดป่าสุคะโต แสดงธรรมก่อนฉันเช้าวันที่ 6 ตุลาคม 2567
ช่วงนี้คงได้ทราบข่าว มีอุทกภัย น้ำท่วมเกิดขึ้นในหลายจังหวัด โดยเฉพาะทางภาคเหนือ เชียงราย เชียงใหม่ และน้ำที่ท่วมก็ท่วมซ้ำซาก ตอนที่ท่วมก็ลำบาก ตอนที่น้ำลดก็ลำบากอีกแบบหนึ่ง เพราะว่าโคลนเลอะเทอะหรือว่าหมักหมมเต็มบ้าน และมีหลายคน หลายกลุ่มเข้าไปช่วยในการตักเอาโคลนออก บางทีก็ใช้รถ ใช้เครื่องยนต์ แต่บางคนก็ใช้มือ ใช้พลั่ว ใช้จอบ ตามกําลังที่มี
มีอาสาสมัครกลุ่มหนึ่งที่น่าสนใจ เขาเรียกว่าอาสาสมัครล้างบ้าน เป็นคนหนุ่ม และคงมีคนสาวด้วย หนุ่มสาวเหล่านี้มาจากบ้านกาญจนาภิเษก
บ้านกาญจนาภิเษก ถ้าเรียกเต็มๆว่า ศูนย์ฝึกและอบรมเด็กและเยาวชนบ้านกาญจนาภิเษก ก็ไม่ใช่ใครจะมาอยู่บ้านนี้ก็ได้ ต้องเคยก้าวพลาดมาก่อน ลักขโมย ติดยา หรือว่าอาจจะชําเราผู้หญิง ฆ่าก็มี เรียกว่าเคยก้าวพลาดมาอย่างหนัก แต่เนื่องจากอายุยังไม่ถึงเกณฑ์ จึงยังไม่ต้องติดคุกเหมือนกับผู้ใหญ่ แต่ต้องมาอยู่บ้านนี้
แต่บ้านนี้เขาไม่ได้ปฏิบัติกับเยาวชนเหล่านี้เหมือนนักโทษ มองเพียงแค่ว่าเป็นคนที่ก้าวพลาด เมื่อก้าวพลาดแล้วก็ยังสามารถจะก้าวใหม่ได้ เพราะฉะนั้นตอนที่เกิดน้ำท่วม คุณทิชา ณ นคร ผู้อํานวยการของบ้านกาญจนาภิเษกก็มีติดประกาศรับอาสาสมัครล้างบ้าน ใครจะไปก็ได้
มีเยาวชนประมาณสัก 20 คน อาสาไปช่วยล้างบ้าน เก็บกวาด กําจัดโคลนที่เชียงราย แม่สาย หลายคนทำงานแข็งขันมาก และมีความสุขมากที่ได้ช่วย ได้ทำประโยชน์ให้กับคนที่เดือดร้อน
มีเยาวชนกลุ่มหนึ่งไปช่วยบ้านหญิงชรา เรียกว่าคุณป้าก็แล้วกัน พอช่วยเสร็จคุณป้าก็มากอด กอดเยาวชนกลุ่มนี้ ขอบอกขอบใจ ซาบซึ้งจนน้ำตาไหล บอกว่าขอบคุณที่พวกเธอทำให้ป้ามีชีวิตใหม่ เด็กคนหนึ่งตอบไปเลยว่า “ไม่ใช่หรอกครับ ป้าต่างหากที่ช่วยทำให้ผมมีชีวิตใหม่”
เขาเล่าความในใจว่า ก่อนหน้านี้ ใคร ๆ มองแกและพรรคพวกแบบติดลบ มีบางคนพูดว่า “ไอ้คนขี้คุก อย่างพวกมึง ไม่มีวันทำอะไรดี ๆ ได้หรอก” เป็นคําที่เหยียดหยามสบประมาท ซึ่งหลายคนเชื่อว่า “กูคงไม่มีวันทำอะไรที่ดี ๆ ได้ เพราะกูมันเลว”
หลายคนพอมาเป็นอาสาสมัครล้างบ้าน เขารู้สึกว่าเขาสามารถจะทำสิ่งดี ๆ ช่วยเหลือผู้คนได้ และเขารู้สึกว่าการที่ได้ช่วยคนเหล่านี้ อย่างเช่น คุณป้า ทำให้เขามีชีวิตใหม่ ถึงแม้ว่าเขาจะกลับไปที่บ้านกาญจนาภิเษกเหมือนเดิม เพราะว่ายังไม่พ้นโทษ แต่ว่าใจเขาเปลี่ยนไปแล้ว
ชีวิตใหม่ไม่ได้แปลว่าต้องมีรถคันใหม่ ต้องมีบ้านหลังใหม่ หรือต้องมีที่ทำงานใหม่ หรือว่าพ้นออกจากสถานกักกัน อยู่ที่ไหนก็มีชีวิตใหม่ได้ โดยเฉพาะคนที่รู้สึกว่าตัวเองไม่มีคุณค่า
เด็กคนนี้เขาเล่าว่า ตั้งแต่เขาก้าวพลาดมา ไม่เคยมีใครชมเขาเลย แต่ว่านี่เป็นครั้งแรก ๆ ที่มีคนมาชื่นชมเขา ขอบอกขอบใจเขา เขารู้สึกว่ามันมีคุณค่า มีความหมายมากต่อตัวเขา การที่ชีวิตเขาได้ทำประโยชน์ให้กับคนอื่นบ้าง ช่วยเติมเต็มบางสิ่งบางอย่างในใจเขา ความรู้สึกด้อย ความรู้สึกว่าไร้คุณค่าก็กลับมามีคุณค่า สามารถจะทำความดีให้กับคนอื่น ภาคภูมิใจในตัวเองได้
การไปช่วยเหลือคนอื่น โดยเฉพาะคนที่ทุกข์ยาก เป็นการช่วยเติมเต็มจิตใจได้ดี ไม่ใช่เฉพาะคนที่เคยก้าวพลาด แม้กระทั่งคนที่ประสบกับความเศร้าโศกเสียใจ คับแค้นใจ เพราะสูญเสียบางสิ่งบางอย่างที่สำคัญไปจากชีวิต
อย่างเช่น มีเด็กคนหนึ่งต้องตัดขาทิ้งเพราะว่ามะเร็งเกิดขึ้นที่ต้นขา ต้องตัดกระดูกตั้งแต่เหนือหัวเข่าขึ้นไป จากคนที่เป็นนักกีฬา มีชื่อเสียงในโรงเรียน มีสาว ๆ มารุมล้อม สามารถทำอะไรที่คนทั่วไปทำได้ยากเพราะมีกําลังวังชา แต่ตอนนี้กลายเป็นคนพิการไปแล้ว ผู้หญิงก็ไม่สนใจ
เขารู้สึกแย่กับตัวเองมาก เลิกเรียน ไม่มีกําลังใจในการเรียน กินเหล้า สูบบุหรี่ บางทีก็เล่นยาด้วย ปล่อยชีวิตให้ตกต่ำ สำมะเลเทเมา เสเพล ตอนหลังไม่ได้โกรธแค้นตัวเองอย่างเดียว หรือไม่ได้คับแค้นใจตัวเองอย่างเดียว โกรธแค้นคนอื่นด้วย หรือโกรธแค้นแทนคนอื่น
อย่างเช่น พอเขาฟังเรื่องราวของคนที่ประสบอุบัติเหตุพิการแล้ว เขาคิดว่า ไม่ว่าหมอหรือว่าพ่อแม่ไม่เข้าใจคนเหล่านี้เลย บอกให้สู้ ๆ ๆ จะสู้ได้อย่างไร เขาจึงมีความคับแค้นใจแทนคนที่ประสบอุบัติเหตุสูญเสียอวัยวะ
บังเอิญพอเขาได้ที่ปรึกษาที่ดี คนที่เขาปรึกษาด้วยบอกว่า ถ้าอย่างนั้นก็ไปช่วยเขาสิ เขาก็เลยไปติดต่อหมอ ติดต่อโรงพยาบาล ว่ามีผู้ป่วยคนไหนที่สูญเสียอวัยวะพิการก็ส่งเด็กคนนี้ไป เด็กคนนี้ทีแรกก็งอแง ไม่อยากไป เพราะกราดเกรี้ยวต่อโลกมาก แต่ตอนหลังพอได้ลองไปดู ได้ไปเยี่ยมคนที่พิการ คนที่ป่วยหนักแล้ว เขาพบว่า เขาสามารถจะช่วยคนเหล่านี้ได้ เพราะว่าเขาก็เหมือนกับคนที่ประสบชะตากรรมเดียวกัน คือเขาก็พิการเหมือนกัน
จากเดิมรู้สึกว่าความพิการเป็นปมด้อย ตอนนี้กลายเป็นข้อได้เปรียบ ได้เปรียบกว่าคนอื่น เพราะว่าสามารถที่จะเข้าใจความรู้สึกของคนที่พิการ คนที่สูญเสียอวัยวะได้ สามารถจะพูดให้กําลังใจ แล้วเขาก็ฟังด้วย เพราะว่าคนที่พูดก็พิการเหมือนเขา เวลาจะแนะนําอะไร เขาก็ฟัง หนุ่มคนนี้กลับมาก็มีความสุข คิดว่าฉันได้ช่วยคนที่เดือดร้อน
ตอนหลังก็ไปมากขึ้น ไปเยี่ยมคนอื่นบ่อย ๆ หมอเห็นความเปลี่ยนแปลงของคนไข้คนนี้ พอหนุ่มคนนี้ไปเยี่ยมผู้ป่วยของเขาแล้ว ผู้ป่วยเขามีกําลังใจดีขึ้น เขาก็เลยได้รับการติดต่อให้ไปเยี่ยมบ่อย ๆ แล้วเขาก็ดีใจที่ช่วยทำให้ผู้ป่วยมีกําลังใจ
ตอนหลังเริ่มที่จะกล้าไปพูดคุยกับหมอ คุยกับพ่อแม่ของผู้พิการเหล่านั้น หรือผู้ป่วยเหล่านั้น ให้เขาเข้าใจหัวอกความรู้สึกของคนที่สูญเสียอวัยวะ แล้วเขาพบว่า พอพูดแล้ว หมอก็ฟัง พ่อแม่ก็ฟัง
บางอย่างผู้ป่วยไม่กล้าพูดกับพ่อแม่ตัว แต่ว่ามาพูดให้เขาฟังแทน เขาก็ไปเล่าให้พ่อแม่ของผู้ป่วยคนนั้นฟัง จนเกิดความเข้าใจ ดูแลเอาใจใส่กัน อันนี้ทำให้เห็นว่าไม่ใช่ดูแลแค่กาย ดูแลเรื่องใจด้วย หนุ่มคนนี้ก็เริ่มมีความสุขมากขึ้น
จนกระทั่งมีคราวหนึ่ง เขาไปเยี่ยมผู้หญิงคนหนึ่งที่ต้องตัดเต้านมเพื่อป้องกันไม่ให้เกิดโรคมะเร็ง เพราะว่าแม่ก็ดี ยายก็ดี พี่สาวก็ดี เป็นมะเร็งเต้านม เด็กสาวคนนี้อายุแค่ 15 กลัวว่าจะต้องเป็นมะเร็งเหมือนคนใกล้ตัว จึงตัด ตัดแล้วก็เสียใจ รู้สึกเศร้า นอนอยู่บนเตียงทั้งวัน
พอหนุ่มคนนี้ไปเยี่ยม เขาพยายามที่จะพูดคุยกับหญิงสาวคนนี้ แต่พยายามเท่าไร เธอก็ไม่สนใจ ไม่มีกะจิตกะใจจะพูดคุยกับใคร หนุ่มคนนี้ก็โกรธ อุตส่าห์พูด อุตส่าห์หาเรื่องโจ๊กมาเล่า ไม่สนใจ ตอนหลังก็เต้นรําให้ดู เต้นรําโดยใช้ขาที่มีข้างเดียว ถอดขาข้างที่เป็นขาเทียมออก ทิ้งลงกับพื้นเสียงดัง หญิงคนนั้นก็เกิดความสงสัยว่าเกิดอะไรขึ้น หันมามอง
เป็นครั้งแรกที่มาพบว่า หนุ่มคนนี้ขาพิการเหมือนกัน ขาพิการ แถมยังมีอารมณ์ดีใจ มาเต้นรําให้ฉันดู จึงเกิดกําลังใจว่า ถ้าคนอย่างเธอเต้นรําได้ ฉันก็ร้องเพลงได้เหมือนกัน แล้วเธอก็ร้องเพลง จากคนที่ซึมเซา ซึมเศร้า กลายเป็นคนที่เริ่มมีกะจิตกะใจร้องเพลง แล้วก็ดีขึ้นเรื่อย ๆ เรียกว่าหนุ่มคนนี้มีความอดทนมาก ตอนหลังไม่มีความน้อยเนื้อต่ำใจในโชคชะตาแล้ว มีความสุข สามารถะช่วยเหลือคนอื่นได้
มีครั้งหนึ่ง เขากลับไปหาหมอที่ให้คำปรึกษาคนเดิม หมอถามว่า จำได้ไหม ตอนที่เธอป่วยใหม่ ๆ พิการใหม่ ๆ เธอวาดรูปเกี่ยวกับตัวเธอให้หมอดู รูปนั้นเป็นรูปอะไร แล้วหมอก็ให้ดู เป็นรูปแจกันที่แตกร้าว เขาเขียนรูปตัวเองว่าเป็นแจกันที่แตกร้าว เหมือนกับชีวิตที่ไม่สามารถจะซ่อมได้แล้ว หมอถามว่าจำได้ไหม สองปีที่แล้วเธอวาดรูปนี้
หนุ่มคนนั้นบอกว่า จำได้ แล้วขอสี เอาสีเหลืองมาวาดเป็นเส้นหนา ๆ ตรงรอยแตก รอยร้าวของแจกัน วาดเส้นหนา ๆ สีเหลืองไปสุดขอบกระดาษหลายเส้น เป็นเหมือนประกายแสง แล้วชี้ไปที่รอยร้าวรอยแตกตรงในภาพ แล้วบอกว่า แสงสว่างรอดมาตามรอยแยกนี้
แปลว่าอะไร แปลว่าตอนนี้ไม่ได้รู้สึกว่ารอยแตกแยกเป็นความพร่องแล้ว มันเป็นช่องทางที่แสงสว่างแห่งความหวัง แห่งการมีชีวิตลอดผ่านออกมา เขามีความสุข จากคนที่พิการ รู้สึกว่าตัวเองขาด กลายเป็นคนที่ได้รับการเติมเต็มเพราะได้ช่วยผู้อื่น
เพราะฉะนั้น การช่วยคนอื่นไม่ได้แค่ช่วยคนที่เดือดร้อนอย่างเดียว มันช่วยเราด้วย คนที่รู้สึกว่าชีวิตไร้ค่า หรือเป็นคนที่ไม่มีอะไรเหลือแล้ว เศร้าโศกเสียใจ หมดอาลัยตายอยากกับชีวิต หลายคนกลับมามีชีวิตใหม่เพราะการที่ได้ช่วยผู้คนที่เขาเดือดร้อน เพราะฉะนั้น การช่วยคนอื่นเป็นสิ่งที่เยียวยาจิตใจที่ดีมาก ซึ่งมีค่ามากกว่า หรือมีพลังมากกว่ายา หรือว่าสิ่งอื่นด้วยซ้ำ.