พระอาจารย์ไพศาล วิสาโล วัดป่าสุคะโต แสดงธรรมก่อนฉันเช้าวันที่ 5 ตุลาคม 2567
มีผู้หญิงคนหนึ่งเธอรักหมามาก เธอเลี้ยงหมาไว้ตัวหนึ่งชื่อโจ เป็นหมาที่ฉลาด แสนรู้ เชื่อง และสุภาพ โจก็รักเธอมากและซื่อสัตย์ไม่เคยอยู่ห่างจากตัวเธอเกิน 2 ศอกเลย เวลานอนก็นอนอยู่บนเตียงเดียวกับเธอ เรียกว่าผูกพันกันมาก เวลาเธอไปไหนเขาก็รออยู่หน้าบ้าน พอเห็นเธอก็วิ่งไปให้เธอกอด
แต่ต่อมาโจก็ล้มหายตายจากไป เธอเศร้ามาก เคยมีเพื่อนถามเธอว่าไม่เอาหมาตัวอื่นมาเลี้ยงหรือ เธอบอกว่าไม่มีใจจะเลี้ยงหมาตัวอื่นแล้ว ไม่มีหมาตัวไหนที่จะมาแทนที่โจได้
และตั้งแต่นั้นมาเธอก็ไม่เลี้ยงหมาตัวไหนอีกเลยเป็นเวลาหลายปี วันหนึ่งเพื่อนไปเยี่ยมเธอที่บ้านและก็ชวนกันไปเดินเล่น บ้านเธออยู่ใกล้ๆชายหาด ทั้งสองก็เดินไปที่ชายหาด เดินไปไม่ทันไรก็มีหมาตัวนั้นตัวนี้มาหาเธอ มาคลอเคลียกับเธอ หลายตัวเป็นหมาจรจัด ไม่มีเจ้าของ มานัวเนียกับเธอด้วยความดีใจ
เธอก็ลูบหัวหมาเหล่านั้นด้วยความรักและเอาขนมให้หมาเหล่านี้กิน เธอเตรียมมาเพราะรู้ว่าออกมาแล้วก็ต้องเจอหมาพวกนี้ เพื่อนก็เลยชวนคุยกับเธอเรื่องหมา เธอก็บอกว่า “ตอนที่ฉันมีโจอยู่นั้น ในโลกนี้มีหมาอยู่ 2 ชนิดคือ หมาของฉันกับหมาตัวอื่นๆ แต่พอไม่มีโจแล้วปรากฏว่าหมาทุกตัวเป็นหมาของฉัน”
เธอพูดดี เป็นข้อคิดที่ดีมากและเป็นสัจธรรมด้วย ตราบใดที่ยังมีของเรามันก็มีของคนอื่น แต่พอสละ ไม่มีของเรา ของทั้งหมดก็กลายเป็นของเรา สำหรับผู้หญิงคนนี้ หมาทุกตัวในโลกเป็นของเธอ แต่ก่อนเธอไม่ได้คิดแบบนี้เลย เธอคิดว่าฉันมีหมาอยู่เพียงแค่ 2 ชนิดคือ โจกับหมาตัวอื่น แต่ตอนนี้ไม่มีหมาตัวอื่นแล้วมีแต่หมาของฉัน เรียกว่าเมื่อสละหรือเมื่อสูญเสีย สิ่งที่ตามมาคือ “การได้”
“เสียกับได้” นั้นไม่ได้แยกจากกัน คนที่เสียเป็น เขาจะได้อะไรดีๆกลับมา ผู้หญิงคนนี้เสียโจไป แต่ว่าได้หมาทั้งโลกมาเป็นของเธอ
มีผู้หญิงอีกคนหนึ่ง เธอก็รักหมาเหมือนกัน รักเหมือนลูกเลย เธอเลี้ยงหมาอยู่ 4 ตัว น่ารักทั้งนั้นเลย ทุกวันเธอจะพาหมาทั้ง 4 ตัวนี้ไปเดินเล่นมันขี้เยี่ยวอย่างไรก็ต้องดูแลรับผิดชอบ เวลาป่วยก็พาไปโรงพยาบาล ถ้าป่วยหนักเธอก็อยู่ใกล้ลูกของเธอ นอนค้างไม่ได้ก็มาเยี่ยมทุกวัน วันละหลายชั่วโมงเป็นเพื่อน
ถ้าไม่ป่วยว่างๆก็พาไปสปา ไปอาบน้ำ เธอไปไหนก็พาไปเที่ยว ยกเว้นตอนไปทำงาน ก็ให้ลูกของเธอทั้ง 4 ตัวนี้อยู่บ้าน แต่เธอก็อยากจะกลับมาเจอลูก ดีใจที่ได้เจอลูกทุกเย็น แต่แล้วลูกของเธอก็ค่อยๆล้มตายไปทีละตัวๆ เพราะป่วย บางตัวก็อายุมาก จนกระทั่งไม่เหลือเลย
เพื่อนๆก็คิดว่าเธอคงจะเศร้ามาก คงจะทำอะไรไม่ได้เลยเพราะว่าลูกของเธอทั้งนั้น แต่ก็พบว่าเธอก็ไม่ค่อยได้เศร้าเท่าไหร่ สามารถใช้ชีวิตตามปกติได้ เพื่อนสงสัยก็เลยถามว่าทำไมเธอไม่เห็นเศร้าเลย
เธอบอกว่าเศร้าอยู่นะ แต่ฉันก็มองว่าตอนที่มีลูก 4 ตัวอยู่ ฉันชอบผู้ชายคนหนึ่งและเขาก็ชอบฉัน เขาขอแต่งงานกับฉัน แต่ว่าเขาไม่ชอบหมา ฉันก็เลยเลือกที่จะอยู่กับหมา ใจก็รักเขาแต่ว่าแต่งงานด้วยกันไม่ได้ แต่พอลูก 4 ตัวนี้ตายจากไปแล้วก็เป็นโอกาสที่ฉันจะได้แต่งงานกับเขาเสียที
พูดง่ายๆสำหรับ เธอนั้นมันไม่ได้เป็นการเสียล้วน ๆ มันก็มีการได้ เสียลูกแต่ว่าได้คนรักมาอยู่ด้วยกันที่บ้าน สิ่งนี้ก็ทำให้เธอไม่เศร้าโศกเสียใจมาก เพราะว่ารู้จักเปลี่ยนวิกฤตให้เป็นโอกาส หรือมองว่า “ในเสีย มันมีได้”
ที่จริงถ้าเรามองให้ดีๆ ทุกครั้งที่เสียจะมีการได้เสมอ เช่นเดียวกัน “เมื่อเราสละ เราก็ได้” เราสละความสบายเพื่อช่วยให้ผู้อื่นมีความสุข เราก็พลอยได้ความสุขไปด้วย เราสละเงินเพื่อช่วยผู้ที่ทุกข์ยาก สิ่งที่ได้กลับมาคือความอิ่มเอมใจหรือความรู้สึกภาคภูมิใจที่เห็นผู้อื่นเขามีความสุข
พระพุทธเจ้าเป็นตัวอย่างของผู้ที่สละทุกอย่าง สละโอกาสที่จะได้เป็นพระจักรพรรดิ แต่สุดท้ายก็ได้เป็นจักรพรรดิราช เป็นผู้ที่เรียกว่ามีอำนาจเหนือจิตใจของผู้คนเรียกว่าทั้งโลกเลยก็ว่าได้ พระองค์นั้นสละโลกแต่ไม่ใช่แค่อยู่เหนือโลกเท่านั้น แต่สุดท้ายโลกทั้งโลกก็มาสยบยอมอยู่ใต้พระบาทของพระองค์ ไม่ใช่สยบยอมเพราะอำนาจหรืออาวุธ แต่ว่าสยบยอมด้วยความศรัทธา ยิ่งสละก็กลับได้
คนที่สละโลกสละทรัพย์สินอย่างพระจำนวนไม่น้อยที่ท่านสละจริงๆ ปรากฏว่าท่านกลับรู้สึกร่ำรวยเพราะมีทุกอย่างไม่มีความรู้สึกพร่อง
ฉะนั้นเวลาเราปล่อย เราวาง เราสละ เราจะได้กลับคืนมา และสิ่งที่ได้มานั้นมันมากกว่าสิ่งที่สละไปเสียอีก เช่นเดียวกันความสูญเสียนั้นถ้าเรารู้จักมอง มันสามารถที่จะทำให้ชีวิตเราเปลี่ยนได้ ถึงบอกว่า “ในเสีย มันมีได้” เสียหมา 1 ตัวแต่ว่าได้หมาทั้งโลก หรือว่าหมาเสียไปแต่ว่าได้คนรัก ได้ชีวิตใหม่
เพราะฉะนั้นเวลาเราเจอความสูญเสียอย่ามัวแต่เศร้าโศก ลองมองดูให้ดีๆเราได้อะไรหลายอย่าง อยู่ที่ว่าเราจะมองเห็นหรือไม่ แล้วยิ่งถ้าเราวางใจเป็นแล้วสิ่งที่ได้มามันคุ้มมาก มันเปลี่ยนมุมมอง มันเปลี่ยนทัศนคติ มันเปลี่ยนชีวิตของเราได้.