พระอาจารย์ไพศาล วิสาโล วัดป่าสุคะโต แสดงธรรมเย็นวันที่ 15 กุมภาพันธ์ 2567
เวลาเราไปบ้านใคร ถ้าเกิดบ้านนั้นเขาเลี้ยงหมาเอาไว้ พอหมาเห็นเราก็จะเห่าเลย ส่วนใหญ่ก็จะเป็นอย่างงั้น บางตัวเห่าดังด้วย แล้วเห่าไม่หยุด เวลาเราเจอหมาเห่าเราก็จะรู้สึกว่าหมานี้เขาคงจะเห่าไล่เรา เพราะว่าเราเข้าไปยุ่มย่ามในอาณาเขตของเขา
เราจะรู้สึกว่าหมามันคุกคามเรา อาจจะรู้สึกไม่พอใจหมาตัวนั้นด้วยซ้ำ
ที่จริงเวลาหมาเห่าเขาไม่ได้คิดร้ายอะไรกับคนที่อยู่ข้างหน้าเขา ที่เขาเห่าเพื่อส่งสัญญาณให้กับเจ้าของที่อยู่ข้างหลัง หรืออยู่ในบ้าน ส่งสัญญาณว่ามีคนมา หรือว่ามีเหตุที่ไม่ปกติหน้าบ้าน แต่พอหมาเขารู้ว่าคนที่มาเยี่ยมเป็นมิตรหรือว่าเป็นคนรู้จัก เขาก็จะกระดิกหางเปลี่ยนท่าทีทันที
ที่จริงไม่ใช่เฉพาะคนที่มาเยี่ยม บางทีเจ้าของบ้านมาถึง หมาจะเห่าไว้ก่อน ก็อย่างที่บอก เขาก็ไม่ได้ตั้งใจเห่าเพื่อไล่คนที่อยู่ข้างหน้า หรือประสงค์ร้าย แต่เขาต้องการส่งสัญญาณไปบอกคนที่อยู่ในบ้านว่า มีคนมาๆ แล้วพอรู้ว่าเป็นเจ้านายก็จะกระดิกหางเลย
แต่ส่วนใหญ่คนเราไม่ค่อยเข้าใจความหมายของเสียงหมาเห่า ไปเข้าใจว่าเขากำลังเห่าเราก็เลยอาจจะแสดงทีท่าไม่พอใจ อาจจะแสดงทีท่าไม่พอใจ เอาไม้ขว้าง เอาก้อนหินขว้าง เพื่อให้หมาหยุดเห่า แต่เขาก็ยังเห่าอยู่นั่น เพราะเขาไม่ได้เห่าไล่เรา เขาเห่าเพื่อบอกเจ้าของบ้าน
ที่บ้านกุดโง้งเวลาเราไปบิณฑบาต พอเลี้ยวโค้งก็จะเจอหมาตัวหนึ่งอยู่หน้าบ้าน อยู่ไม่ไกลจากบ้านของตัวเองเท่าไหร่สัก 30 เมตร มันชื่อกะทิ พอกะทิเห็นพระมันจะเห่าเลย เห่าๆ แล้วเป็นอย่างนี้ทุกวัน ทั้งที่น่าจะจำกลิ่นของพวกเราได้ว่าพวกเรานี้มาเป็นมิตร ไม่เป็นพิษเป็นภัยอะไร แต่มันก็เห่าอยู่นั่น เห่าอย่างเอาจริงเอาจังมาก คนที่ไม่เข้าใจก็คิดว่ากะทิไม่เป็นมิตรกับพระที่มาบิณฑบาต
จริงๆไม่ใช่ กะทิเห่าเพื่อจะส่งสัญญาณไปบอกเจ้าของ เพราะเจ้าของชอบใส่บาตรทุกเช้า พอเจ้าของได้ยินเสียงกะทิเห่า เจ้าของก็มารอหน้าบ้านเพื่อรอใส่บาตร พอพระมาถึงหน้าบ้านของกะทิ กะทิก็หยุดเห่าแล้วเพราะว่าเห็นเจ้าของเตรียมพร้อมจะใส่บาตร
คราวนี้คนไม่เข้าใจก็ไปนึกว่ากะทิมันไม่รู้จักจำสักที พระมาทุกวันๆ ก็ยังเห่าอยู่นั่นแหละ ไม่รู้สึกเป็นมิตรกับพระ ที่จริงไม่ใช่เลย เสียงเห่าของกะทิจุดมุ่งหมายคือบอกเจ้าของว่าพระมาแล้ว ถ้าเราเข้าใจแบบนี้ก็เอ็นดูกะทิเลย ความรู้สึกก็จะเปลี่ยนไป
มีเด็กคนหนึ่งอายุประมาณสัก 6-7ขวบ พอเรียนหนังสือเสร็จกลับมาที่บ้าน แทนที่แกจะทำการบ้าน อาจจะทำการบ้านสักนิดหน่อย เสร็จแล้วก็อดไม่ได้ที่จะเปิดโทรทัศน์ เพราะว่าที่บ้านไม่มีผู้ใหญ่เลย เด็กก็ชอบดูโทรทัศน์อยู่แล้วในสมัยก่อนที่จะมีโทรศัพท์มือถือ เด็กแทนที่จะทำการบ้านก็เปิดโทรทัศน์ดูการ์ตูน
ในห้องนั้นก็มีหมาตัวหนึ่ง ตัวใหญ่ด้วย มันก็คอยป้วนเปี้ยนอยู่ใกล้ๆ กับเด็กคนนั้น แล้วพอผ่านไปสักพักมันก็จะนอน หูคงฟังเสียงโทรทัศน์ไปด้วย แต่สักพักมันก็ลุกขึ้นมา แล้วมันก็เห่า มันมองไปที่ประตูบ้าน มองไปที่หน้าบ้านก็เห่า เห่าแปลว่าอะไร แปลว่ามีคนมา แล้วสักพักมันก็รู้ว่าเป็นใคร คือเจ้าของบ้านหรือพ่อของเด็กคนนั้น
มันรู้ก่อนที่พ่อของเด็กจะเปิดประตูเข้ามา มันคงได้กลิ่น มันรู้มันก็หยุดเห่า แต่มันไม่ได้ทำแค่นั้น มันก็เดินไปที่โต๊ะของเด็ก แล้วก็เอาขาหน้าข้างขวามาวางบนโต๊ะ เพื่ออะไร เพื่อส่งสัญญาณให้เด็กรู้ว่า พ่อของหนูมาแล้ว เท่านั้นแหละเด็กปิดโทรทัศน์ทันทีเลย แล้วก็เอาการบ้านมาทำ ก็พอดี พ่อเปิดประตูเข้ามาเห็นลูกทำการบ้าน พ่อก็ยิ้มเลย ลูกเราขยัน อันนี้เป็นเพราะหมาช่วยเอาไว้
ช่วยข้อแรกคือ ช่วยบอกเด็กว่ามีคนมาที่บ้าน แล้วข้อสองคือช่วยบอกเด็กว่าพ่อมาแล้ว ตอนที่บอกว่ามีคนมาที่บ้าน หมาก็ส่งสัญญาณด้วยการเห่า แต่พอรู้ว่าคนที่มาคือพ่อ ก็ส่งสัญญาณให้เด็กเลยว่าพ่อมาแล้ว เด็กก็รู้เลยว่าต้องปิดโทรทัศน์แล้วล่ะ แล้วก็เอาการบ้านมาทำ
มันน่าสนใจว่า หมามันรู้ได้ยังไงว่า เวลาพ่อมา ถ้าหากว่าเอาเท้ามาวางบนโต๊ะเด็กก็จะเปลี่ยนมาเป็นขมีขมันทำการบ้าน อาจเป็นเพราะว่าหมาคงเคยเห็น เคยเห็นพ่อเวลาเปิดประตูเข้ามาเห็นลูกสาวกำลังดูโทรทัศน์พ่อก็คงว่าลูก หมามันคงเห็นแล้วว่า เจ้านายน้อยของเราถูกว่า เพราะว่าดูโทรทัศน์แทนที่จะทำการบ้าน
ครั้งต่อไปก็อยากจะช่วยเจ้านายน้อย ไม่อยากให้เจ้านายน้อยถูกว่า เพราะหมาก็มีน้ำใจรักเจ้านายน้อย ไม่อยากให้เจ้านายน้อยถูกพ่อว่าจึงทำการส่งสัญญาณให้เจ้านายน้อยรู้ว่า พ่อหนูมาแล้วรีบปิดโทรทัศน์เร็ว ทำการบ้านเลย ไม่งั้นเดี๋ยวหนูโดนพ่อว่า มันคงอยากจะบอก แล้วเด็กเขาก็รู้ รู้สัญญาณของหมา ทั้งๆ ที่ไม่ได้พูดภาษาเดียวกัน แต่รู้อากัปกิริยาพอรู้พอเห็นอากัปกิริยาของหมานี้ก็รู้แล้วจะต้องปิดโทรทัศน์แล้ว แล้วก็เอาการบ้านมาทำ
สัตว์นี้มันก็มีวิธีการส่งสัญญาณ แต่ว่าบางทีคนเราไม่เข้าใจ เราเข้าใจผิดๆ ก็เลยทำให้มีปัญหาได้ แต่ถ้าเราเข้าใจถูก ปัญหาก็จะน้อยลง คนเราก็มีการส่งสัญญาณ อาจจะโดยความตั้งใจหรือไม่ตั้งใจให้คนอื่นได้รับรู้ ถ้าคนอื่นตีความสัญญาณผิดก็อาจจะเกิดความเข้าใจผิดได้ แต่ถ้าตีความสัญญาณถูก มันก็ช่วยได้เยอะ
อย่างมีจิตอาสาคนหนึ่งแกไปเยี่ยมคนชรา คุณยายคนหนึ่งที่บ้านพักคนชรา คุณยายคนนี้แกจะเป็นคนที่อารมณ์ไม่ค่อยดี ระยะหลังก็กระฟัดกระเฟียดว่าคนนั้นที ด่าคนนี้ที ใครๆ ก็ไม่ค่อยอยากเข้าใกล้ ไม่เข้าใจว่าแกเป็นอะไร
จิตอาสาคนนี้แกมาเยี่ยมคุณยาย ก็มาเยี่ยมคนอื่นด้วยแล้วก็มาเยี่ยมคุณยายคนนี้ แกก็เห็นอาการของคุณยายกระฟัดกระเฟียด อารมณ์ไม่ดีเลย แต่แกก็ไม่สนใจ ก่อนที่แกจะกลับแกก็จะกอดคอ กอดยาย ยายก็ให้กอดแล้วก็กอดกลับ แต่กอดแบบไม่ค่อยเต็มใจ กอดแบบไม่ค่อยเต็มไม้เต็มมือ จิตอาสาก็รู้ สงสัยว่ายายคงจะมีอะไรอยู่ในใจ ไม่พอใจฉันหรือเปล่า แต่ว่าแกก็ไม่ได้คิดอะไร ยังไม่สรุป
พอกอดเสร็จ แกก็บอกคุณยายว่า กอดยายเหมือนกับได้กอดยายของหนูที่จากไป แล้วก็ถามต่อไปว่า คุณยายเคยกอดใครไหม แกก็ตอบว่าเคยกอดลูกชาย แล้วก็เล่าว่าลูกชายตอนนี้ประสบอุบัติเหตุ กลายเป็นคนพิการ แล้วก็รักษาตัวอยู่สถาบันคุ้มครองคนพิการ แต่ก่อนลูกชายส่งข่าวมาเป็นประจำทางโทรศัพท์ แต่ระยะหลังลูกชายก็หายไปเลย แกเป็นทุกข์มากเลย แล้วก็เครียด
จิตอาสาก็เลยพอจะเดาได้ว่า ที่แกกระฟัดกระเฟียดว่าคนนั้นที ว่าคนนี้ที ใครมากอดก็ไม่กอดด้วยความเต็มใจ จริงๆ แกก็ไม่ได้โกรธใครเป็นพิเศษ หรือเฉพาะเจาะจงใคร หรือว่าไม่ได้เป็นมิตรกับใคร แต่แกมีความทุกข์ใจ ทุกข์เรื่องลูกชาย
จิตอาสาก็เลยไปตามเลยว่าลูกชายแกเป็นอย่างไร อยู่ที่พระประแดง สถานคุ้มครองและฟื้นฟูผู้พิการที่พระประแดงก็ทราบความว่า ลูกชายยังอยู่แต่ว่าช่วงนี้ไม่ค่อยสบายก็เลยขาดการติดต่อ จิตอาสาก็เลยมาบอกคุณยาย คุณยายพอรู้ว่าลูกชายยังมีชีวิตอยู่ แกอารมณ์ดีขึ้นมาเลย เปลี่ยนเป็นคนละคน ที่เคยหงุดหงิดหัวเสียกระฟัดกระเฟียด เปลี่ยนไปเลย
วันต่อมาจิตอาสาก็ยังทำมากกว่านั้น ก็คือเป็นตัวกลางให้ลูกชายได้โทรศัพท์คุยกับคุณยายผู้เป็นแม่ คุณยายมีความสุขเพิ่มขึ้นเยอะเลย ก็เป็นอันว่าที่เคยหงุดหงิดหัวเสีย ตอนนี้เปลี่ยนไปแล้ว อารมณ์ดีแล้ว
คนทั่วไปเวลาเจอคุณยายหงุดหงิดหัวเสียก็เข้าใจว่า คุณยายไม่พอใจเรา เสร็จแล้วก็จะคิดเลยไปว่า เราอุตส่าห์มาเยี่ยม อุตส่าห์มาพูดดีด้วย กอดก็กอดแล้วก็ยังทำอย่างนี้กับเรา ถ้าคิดแบบนี้ก็เกิดความรู้สึกแย่ขึ้นมาเลย เกิดความรู้สึกเป็นปฏิปักษ์กับคุณยาย คุณยายพอเจออารมณ์ลบจากคนที่มาเยี่ยม หรือจากเจ้าหน้าที่ก็ยิ่งเกิดความรู้สึกลบเข้าไปใหญ่
แต่จิตอาสาคนนี้เป็นคนดี แกเดาว่า คุณยายที่เป็นอย่างนี้เพราะว่ามีความทุกข์ ไม่ใช่ไม่พอใจใคร แต่มีความทุกข์เรื่องอื่น พอสืบสาวราวเรื่องรู้ความจริงเข้า แกก็ช่วยทำให้คุณยายสบายใจ
บ่อยครั้งเวลาเราเจอใครที่เขาหน้าบูดหน้าบึ้งกับเรา เรามักจะไปคิดสงสัยว่าเขาคงไม่พอใจเรา ที่จริงอาการหน้าบูดหน้าบึ้งเป็นสัญญาณว่า เจ้าตัวกำลังมีความทุกข์อะไรสักอย่าง อาจจะไม่เกี่ยวกับเราเลย อาจจะเกี่ยวกับคนที่เขารัก เช่น เวลาเราเจอเพื่อนร่วมงานโวยวายใส่ ถ้าเราไม่เข้าใจก็ไปคิดว่าเขาไม่พอใจเรา แล้วเราก็เลยมีอารมณ์โกรธใส่เขา
แต่ที่จริงการโวยวายใส่มันเป็นสัญญาณ ไม่ได้เป็นสัญญาณว่าเขาไม่พอใจเรา แต่เป็นสัญญาณว่าเขากำลังมีความทุกข์บางอย่าง อาจกำลังเครียดเรื่องลูก ลูกติดยาหรือว่าลูกติดการพนัน หรือว่าลูกคบเพื่อนไม่ดี หรือว่าพ่อป่วย พอมีอะไรมากระทบระหว่างที่พูดคุยกับเรา เขาก็เลยโวยวายใส่ แต่ไม่ใช่เพราะเขาไม่พอใจเรา แต่เป็นเพราะเขามีความเครียด ความกดดันเรื่องอื่น
บางทีเจอเขาทักทายเขา เขาไม่ตอบเลย เจอแบบนี้เราก็อดไม่ได้ที่จะคิดเขาไม่พอใจเราหรือเปล่า เมื่อวานนี้เราแนะนำเขาเรื่องงานเรื่องการ เขาก็เลยไม่พอใจเรามั้ง เช้านี้เราเจอเขาเราทักเขาก็ไม่ตอบ
จริงๆ ที่เขาไม่ตอบอาจเป็นเพราะเขายังกำลังกังวลเรื่องอื่น อาจกังวลว่าไม่รู้จะโดนเจ้านายไล่ออกหรือเปล่า หรือว่าพ่อแม่ป่วยเมื่อเช้านี้อาการจะหนักไหม พอใจมันคิดกังวลเรื่องนี้เข้าก็เลยไม่ไปรับรู้ว่า ใครพูดด้วยเพื่อนทักก็ไม่ทักตอบ อาการที่ไม่ทักตอบมันอาจจะเป็นสัญญาณแสดงว่า เขากำลังมีความทุกข์บางอย่าง เหมือนกับที่คุณยายแกกระฟัดกระเฟียดว่าคนนู้นทีว่าคนนี้ที อันนี้เป็นสัญญาณว่าแกกำลังกลุ้มเรื่องลูก กำลังวิตกเรื่องลูก
คนเราเวลาเจอ เวลาเกี่ยวข้องกันถ้าเราจับสัญญาณไม่ถูก ตีความผิด เราก็อาจจะเกิดความทุกข์ ทุกข์ที่เขาไม่พอใจเรา พยายามควานหาว่าเขาไม่พอใจเรื่องอะไร บางทีก็คิดเป็นตุเป็นตะเลยเพราะเรื่องนี้ แล้วเราก็เลยโมโห แค่นี้เอง ฉันแค่แนะนำเธอดีๆ ด้วยความหวังดี ทำไมเธอทำกับฉันอย่างนี้ พูดกับฉันอย่างงี้ มึนตึงกับฉันอย่างนี้ ก็เลยตอบโต้ด้วยอารมณ์ที่เป็นลบใส่กัน
สุดท้ายก็เลยเกิดความร้าวฉานขึ้นมา ไม่ใช่เฉพาะคนที่เจออารมณ์ที่มาคุจากใครบางคน ซึ่งอาจจะมีเหตุมาจากเรื่องอื่นที่ไม่เกี่ยวกับคนที่เขากำลังพูดคุย หรือเกี่ยวข้องด้วยเลย บางทีเจ้าตัวเองก็ไม่รู้ เจ้าตัวก็ไม่รู้
พ่อแม่คุยกับลูกหรือลูกมาคุยให้พ่อแม่ฟัง เล่าเรื่องส่วนตัว เรื่องการเรียน จู่ๆ พ่อแม่ก็เกิดหัวเสียขึ้นมา ว่าลูก ลูกตกใจเลย พ่อแม่ก็ตกใจเหมือนกันว่า เราหลุดปากไปว่าลูกได้ยังไง บางทีเจ้าตัวก็ไม่รู้ว่า เอ๊ะทำอย่างนี้ไปได้ยังไง เพราะว่าลูกก็พูดนิดเดียวแค่ไม่พอใจ แค่กระทบนิดเดียว ฉันเกิดหัวเสียขึ้นมาทันที
ที่จริงอาการหัวเสียก็เป็นสัญญาณบอกเจ้าตัวว่า กำลังมีความทุกข์บางอย่าง กำลังมีความเครียดบางอย่าง ถ้าคนที่ฉลาดเขาจะเริ่มคิดแล้ว มันกำลังบอกอะไรฉัน อาการแบบนี้ เพราะว่าลูกก็ไม่ได้พูดอะไรที่รุนแรง ทำไมฉันยังโกรธใส่ลูก
ความโกรธที่ระบายใส่ลูก หรือสาดใส่ลูก มันอาจจะเป็นสัญญาณบอกอะไรบางอย่าง ซึ่งถ้าเจ้าตัวลองพิจารณาดูว่าจะพบว่า อาจเป็นเพราะว่ากำลังเครียดเรื่องงาน เครียดสะสมเรื่องงานมาเป็นอาทิตย์แล้ว แล้วก็ไม่ได้หลับไม่ได้นอน พอความเครียดมันสะสมมากๆ เข้า มีอะไรมากระทบเบาๆ มันก็ระเบิด เหมือนลูกโป่งถ้ามันมีอากาศอัดแน่นแค่ปลายหญ้า หรือใบหญ้าจิ้มเข้าไปมันก็แตก
คนเราถ้าหากว่าเราหมั่นสังเกต การกระทำของเราบางอย่างมันเป็นสัญญาณบ่งบอกว่า เราต้องทำอะไรเพื่อจัดการตัวเราเอง เช่น ในกรณีของพ่อที่โวยวายใส่ลูกทั้งๆ ที่ลูกก็ไม่ได้พูดอะไรมาก มันอาจแสดงว่าเจ้าตัวกำลังจะเสียศูนย์แล้ว ทำงานหนักพักน้อย สะสมความเครียด
ถ้าหากว่ารู้จักพิจารณาก็จะตระหนักว่าคือสัญญาณบอกว่า เราต้องพักแล้ว ไม่ใช่แค่พักกายบางทีต้องพักใจด้วย ต้องไปสงบสติอารมณ์ ต้องไปเข้าคอร์สปฏิบัติธรรม ต้องไปฝึกจิตพักใจ ซึ่งถ้าทำงั้นมันก็จะช่วยได้ เพราะว่าร่างกายหรือจิตใจบางครั้งเขาก็ส่งสัญญาณมาให้ แต่ว่าถ้าเราไม่เข้าใจ เราไม่เก็ท เราเมินเฉยก็แปลว่าการเยียวยา การรักษามันไม่เกิดขึ้น การพักไม่เกิดขึ้น ถึงเวลาสะสมหนักๆ เข้ามันระเบิดเลย เช่น ระเบิดใส่ลูก หรือบางทีระเบิดยิ่งกว่านั้น
คนเราบางทีก็ต้องรู้จักจับสัญญาณที่กายและใจมันบอกเรา เพื่อที่เราจะได้ปฏิบัติกับตัวเองอย่างถูกต้อง แทนที่จะมาหัวเสีย หรือแทนที่จะมาโทษตัวเองว่าทำไมเราแย่แบบนี้ ลูกพูดนิดเดียว ลูกไม่ได้ทำอะไรเลยเรากลับระบายใส่ เสร็จแล้วก็ยิ่งเครียดหนักเข้าไป สะสมความเครียดหนักเข้าไป ทำให้พร้อมจะระเบิดได้อีก กับคนอื่น กับคนรถ กับเจ้านาย กับลูกน้อง กับเพื่อนร่วมงานก็ได้
แต่ถ้าหากว่าตีความสัญญาณถูกว่า มันแสดงว่าเรากำลังจะแย่แล้ว กำลังจะเสียศูนย์ กำลังจะหมดไฟแล้ว เราต้องพักแล้ว หรือว่าหันมาเยียวยาจิตใจตัวเอง บางคนไม่รู้แล้วก็ทำงานหนักตะบี้ตะบันทำคิดว่ายังยังสู้ไม่พอ ยังทำงานไม่พอ ยังเพียรพยายามไม่พอ ทำให้ความเครียดสะสมหนักๆ เข้า บางคนถึงกับสติแตกระเบิดเลย หรือว่าหนักกว่านั้นคือ ทำร้ายตัวเอง
การที่เราจับสัญญาณที่เกิดขึ้นไม่ว่าจากคนอื่น แล้วเราตีความถูก เวลาเขาโวยวายใส่เราก็อย่าเพิ่งไปตีความว่าเขาไม่พอใจเรา อาจเป็นเพราะว่าเขากำลังมีความเครียดบางอย่าง ซึ่งไม่เกี่ยวกับเราเลย อย่างคุณยายแกโวยวายใส่จิตอาสา แกโวยวายใส่เจ้าหน้าที่ ที่จริงแกไม่ได้มีเรื่องไม่พอใจคนเหล่านั้นเลย แต่แกเครียดเรื่องลูก วิตกกังวลเรื่องลูก ถ้าตีความสัญญาณผิดมันก็ทำให้ปัญหาหนักขึ้น ความสัมพันธ์แย่ลง
แต่ถ้าตีความถูกเราก็สามารถช่วยเขาได้ เราเองก็ไม่ทุกข์ ไม่ถือสายาย แกว่าไงก็ไม่ถือสา แล้วเรายังสามารถช่วยยายได้ อย่างที่จิตอาสาเข้าช่วยยายให้กลับมายิ้มแย้มแจ่มใสได้ใหม่ เพราะรู้ว่ายายเป็นทุกข์เครียดเรื่องลูก
กับเพื่อนร่วมงานเราก็เหมือนกัน ถ้าเขาโวยวายใส่เราก็อย่าไปคิดว่าเขาไม่พอใจอะไรเรา แต่อาจจะเป็นอาการที่สะท้อนมาจากความเครียดในเรื่องส่วนตัว ความทุกข์เรื่องส่วนตัว อันนี้คือสัญญาณเหมือนกันที่เราต้องตีความให้ถูก ถ้าเราตีความไม่ถูกก็เกิดปัญหา หรือเจ้าตัวเองก็ต้องตีความ หรือรู้จักดักฟังสัญญาณที่ตัวเองได้แสดงออกมา
เพราะบางครั้งถ้าเราตีความผิดก็ทำให้ปัญหามันสะสมหมักหมม จนกระทั่งระเบิดออกมากลายเป็นเรื่องราวใหญ่โตเสียหายมากมาย แต่ถ้าจับสัญญาณถูกเราก็สามารถจะหาทางแก้ไขได้ เช่น พักผ่อนหรือว่ามาเยียวยาจิตใจ มาฝึกสติ มาพักใจ
ที่จริงร่างกายของเราจิตใจของเรามันส่งสัญญาณอยู่เสมอ แต่เป็นเพราะเราไม่ใส่ใจหรือเราตีความผิด มันก็เลยทำให้ปัญหาสะสมหมักหมมมากขึ้น และสัญญาณก็มีอยู่รอบตัว ทั้งจากคนอื่นด้วย ตีความไม่ถูกก็เหมือนกับหมาที่มันเห่าใส่เรา ไม่ใช่ว่ามันไม่ชอบเรา แต่มันแค่ส่งสัญญาณไปให้เจ้านายที่อยู่ข้างหลัง อยู่ในบ้านว่ามีคนมา
ถ้าเราตีความสัญญาณของหมาผิดแล้วก็เกลียดหมา บางทีเอาก้อนหินขว้างหมาก็กลายเป็นเรื่องบาดหมาง เจ้าของหมาก็ไม่ชอบเรา หมาก็ยิ่งเกลียดเราเข้าไปใหญ่.