พระอาจารย์ไพศาล วิสาโล วัดป่าสุคะโต แสดงธรรมก่อนฉันเช้าวันที่ 30 กันยายน 2567
วันนี้เป็นวันสุดท้ายของเดือน แต่ไม่ใช่วันธรรมดาถึงแม้ว่าหลายคนจะรู้สึกมีความสุข สิ้นเดือนเงินเดือนออก แต่ว่าหลายที่หลายแห่งเงินเดือนเขาออกไปเมื่อวันศุกร์ที่แล้ว แต่ว่าวันนี้ไม่ใช่วันสิ้นเดือนธรรมดา เพราะเดือนนี้เป็นเดือนกันยายน
30
กันยายน สำหรับคนที่อายุ 60 ปี วันนี้คือวันสุดท้ายที่จะได้ทำงาน พรุ่งนี้ก็เกษียณอายุราชการ พ้นจากวันนี้ไปก็เป็นข้าราชการบำนาญ คนที่วันนี้เป็นผู้อำนวยการ ไม่ว่าจะเป็นผู้อำนวยการโรงพยาบาล ผู้อำนวยการสถาบัน หน่วยงานของรัฐ เป็นอธิบดี เป็นปลัดกระทรวง ถ้าอายุครบ 60 พรุ่งนี้ก็กลายเป็นคนธรรมดาไปแล้ว
เป็นโอกาสดีที่จะได้เห็นสัจธรรม สัจธรรมที่ว่าคือ เมื่อมีขึ้นก็ย่อมมีลง เมื่อได้ยศก็ย่อมมีวันที่จะเสื่อมยศ อันนี้เป็นสัจธรรมที่คนมักจะลืมไป
สำหรับหลายคน สัจธรรมจะแสดงตัวชัดมากนับจากวันนี้ไป ที่เคยเป็นผู้อำนวยการโรงพยาบาลก็จะกลายเป็นประชาชนเต็มขั้นวันพรุ่งนี้ ที่เป็นอธิบดี เป็นปลัดกระทรวง ก็กลายเป็นราษฎรเต็มขั้นวันพรุ่งนี้
และพร้อม ๆ กันนั้น ลาภก็ดี บริษัทบริวารก็ดี ที่เคยมี เคยห้อมล้อม ก็จะสูญหายไปเลย หรือเบาบางลงมาก ซึ่งอันนี้ก็เป็นสัจธรรมเหมือนกัน คนเราถ้าหากรู้จักมองว่า ตอนที่เรายังมีอำนาจ จริง ๆ ตอนนั้นเรากำลังสวมหัวโขนอยู่ และเป็นเพราะเราสวมหัวโขนจึงมีบริษัทบริวารทุกคนมาห้อมล้อมเรา ไม่ใช่มีแค่ข้าราชการ ยังมีพวกพ่อค้านักธุรกิจมารุมล้อมเรา
เวลาเราไปไหน ไปต่างจังหวัดจะมีการตั้งแถวต้อนรับ เพราะว่าเรามีอำนาจ มีอำนาจในการเซ็นใบอนุญาตตั้งโรงงานบ้าง หรือว่าให้สัมปทานบ้าง รวมทั้งมีอำนาจให้คุณให้โทษ เลื่อนขั้นเลื่อนตำแหน่ง ไปไหนก็มีคนมาพินอบพิเทา มีคนมาพูดดีด้วย เวลาไปสนามบินก็จะมีคนมาแนะนำตัว ไม่ได้ว่างเว้นเลย วันเกิด วันปีใหม่ก็จะมีคนมาเอาของขวัญมาให้เยอะแยะไปหมด
หลายคนคิดว่าเป็นเพราะตัวเอง เป็นเพราะบารมีของตัวเอง แต่ที่จริงแล้วเป็นเพราะหัวโขนต่างหาก พ้นจากวันนี้ไปก็ต้องวางหัวโขนลง และหลายคนพบว่าคนที่เคยมาพินอบพิเทา ไม่ว่าจะเป็นข้าราชการ ไม่ว่าจะเป็นพ่อค้านักธุรกิจ เริ่มหายหน้าหายตาไป ไปไหนก็ไม่มีคนมาทัก ไม่มีคนมาไหว้ ไม่มีคนมาพินอบพิเทา
หลายคนทำใจไม่ได้ ตอนที่เป็นผู้อำนวยการโรงพยาบาลมีคนมา มีลูกน้องมาแนะนำตัว มากุลีกุจอช่วยขน ช่วยถือกระเป๋าเวลาเจอกันที่สนามบิน แต่พอตัวเองเกษียณ นั่งรอเครื่องบินที่สนามบินคนเดียว ไม่มีคนมาแนะนำตัว ไม่มีคนมาทักทาย
ไม่ใช่เพราะเขาไม่เห็น เขาเห็น แต่เขาไม่สนใจแล้ว เพราะอะไร เพราะว่าเราไม่มีอำนาจในการให้คุณให้โทษแล้ว หัวโขนถอดไปแล้ว ถึงวันเกิด วันปีใหม่ คนที่เคยมาให้ของขวัญ มอบกระเช้าดอกไม้ ก็หายหน้าหายตาไปหมด
นี่คือสัจธรรม อย่าไปมองว่าเป็นเคราะห์ มันคือสัจธรรมที่แสดงให้เห็นว่าการที่ผู้คนเขาดีกับเรา ไม่ใช่เพราะตัวเราเอง แต่เป็นเพราะหัวโขนของเรา พอถอดหัวโขนเสร็จ ทุกอย่างที่เคยมี เคยชื่นชม เคยยินดีเคยเพลิดเพลินก็หายไปหมด
ถึงวันเกิด วันปีใหม่จะมีแต่คนที่เขาเคารพนับถือเราในคุณงามความดี หรือซาบซึ้งในความเมตตากรุณาของเรา ซึ่งถ้าเรามีมาก แสดงออกต่อผู้คนมาก ก็จะมีคนมาหาเรามาก แต่ถ้าเราไม่มีสิ่งนี้เลยกับคนอื่น กับลูกน้อง เวลาเราทำงานเป็นใหญ่เป็นโตในหน่วยงาน คิดว่าฉันจะสั่งใครก็ได้ จนลืมไปว่ามันเป็นของชั่วคราว
คนที่เป็นผู้บริหารที่มีน้ำใจ มีความเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ มีเมตตาต่อลูกน้อง ยึดหลักคุณธรรม ไม่ลูบหน้าปะจมูก คนแบบนี้ต่างหากที่พอเกษียณไปแล้วยังมีผู้คนมาหา มาทำดีด้วย เพราะเขาศรัทธา เพราะเขาเคารพ เขาซาบซึ้งในความดีของเรา
หลายคนตอนมีอำนาจคิดแต่จะใช้อำนาจอย่างเดียว เพราะคิดว่าตัวเองให้คุณให้โทษกับใครได้ แต่ไม่คิดว่าหรือไม่ตระหนักว่าวันที่ตัวเองจะหมดอำนาจ สักวันหนึ่งก็ต้องมาถึง
ฉะนั้น คนเราไม่ว่าจะสวมหัวโขน ไม่ว่าจะมีอำนาจหรือไม่ การมีคุณธรรม การมีเมตตากรุณา การมีความยุติธรรม สิ่งนี้ที่จะช่วยทำให้เราไม่ว่าอยู่ที่ไหนเวลาใดก็ยังเป็นที่รัก ที่ศรัทธาของผู้คน อาจจะไม่มาก ไม่เหมือนตอนที่เรามีอำนาจ แต่ว่าแต่ละคนที่มาหาเราตอนที่เราหมดอำนาจนั่นแหละคือคนที่เขาประทับใจในความดีของเรา
ถ้าไม่อยากอยู่เหงา ๆ หลังวันเกษียณก็ต้องบำเพ็ญคุณงามความดีเอาไว้ มีพระคุณ อย่าใช้แต่พระเดช
เช่นเดียวกัน แม้จะไม่ได้เป็นอธิบดี ไม่ได้เป็นปลัดกระทรวง เป็นข้าราชการธรรมดา แต่พอเกษียณก็จะพบสัจธรรมอย่างหนึ่ง คือว่างานที่เราเบื่อ งานที่เราไม่อยากทำ ที่จริงแล้วมีความหมายต่อชีวิตจิตใจของเรามาก ทำให้เราได้ใช้ความสามารถของเรา รู้สึกภาคภูมิใจในสิ่งที่ได้ทำ ทำให้รู้สึกว่าเรามีพื้นที่ มีตัวตน อย่างน้อยก็ในหน่วยงานของเรา รวมทั้งมีเพื่อน มีมิตรสหาย
พอถึงวันที่เราไม่ได้ทำงานเพราะว่าเกษียณแล้ว หลายคนอาจจะดีใจ จะได้ไปเที่ยว เชียงใหม่ ภูเก็ต ต่างประเทศ จะได้ไปทำอะไรที่ตัวเองรัก เพลิดเพลิน แต่ว่าทำอย่างนี้ไปสักพักก็จะเบื่อ แล้วจะนึกถึงงาน คิดถึงงานขึ้นมา คิดถึงหน่วยงาน คิดถึงเพื่อน แล้วจะรู้ว่างานมีคุณค่าต่อจิตใจของเรา พอไม่ได้ทำงานก็จะหงอย
ที่เคยเลี่ยงงาน ที่เคยไม่อยากตื่นเช้าไปทำงาน ที่จริงแล้วเป็นเพราะเรายังไม่เห็นคุณค่าของงานที่มีต่อชีวิตจิตใจของเรา
แต่ถึงแม้เกษียณไปแล้วเรายังสามารถจะหางานทำที่มีประโยชน์ ยิ่งมีประโยชน์มากเท่าไรยิ่งทำให้เรารู้สึกมีความสุข เพราะรู้สึกว่าตัวเองมีคุณค่า มีเป้าหมาย
อันนี้เป็นสัจธรรมที่คนไม่ค่อยตระหนัก เวลามีงานทำก็ไม่อยากทำ แต่เวลาไม่ได้ทำงานก็ขวนขวายอยากจะหางานทำ เพราะไม่อย่างนั้นจะรู้สึกเคว้ง
ให้รักงานที่เราทำเสียแต่วันนี้ ไม่ใช่มารอเกษียณแล้วถึงค่อยมานึกถึงงาน โหยหางานที่เคยทำ อันนั้นก็อาจจะสายไปแล้วก็ได้
เพราะฉะนั้น ถ้าจะให้ดี เปลี่ยน วันที่ผู้คนพากันเกษียณอายุจากราชการ มาเป็น วันที่ผู้คนจะสามารถเห็นสัจธรรม แล้วเราไม่ต้องรอให้เราเกษียณอายุก่อน เราเห็นสัจธรรมจากผู้คนที่เขามีความรู้สึกเปลี่ยนแปลงไปหรือชีวิตอาจจะเปลี่ยนแปลงไปหลังเกษียณเพราะเขาวางใจไม่เป็น เพราะเขาไม่เข้าใจสัจธรรมของชีวิต.