พระอาจารย์ไพศาล วิสาโล วัดป่าสุคะโต แสดงธรรมก่อนฉันเช้าวันที่ 26 กันยายน 2567
มีชายคนหนึ่งเกิดและเติบโตที่จังหวัดแพร่ วันหนึ่งเขาตัดสินใจเข้ากรุงเทพเพื่อหางานทำ อยากจะสร้างเนื้อสร้างตัว แต่ปรากฏว่าโดนหลอกไปเป็นแรงงานทาสบนเรือหาปลา ที่เรียกว่าเป็นแรงงานทาส เพราะว่าพอไปอยู่ในเรือแล้วก็ต้องทำงานหนัก แล้วก็คงไม่มีรายได้อะไร แค่เอาตัวรอดให้ได้ไม่ตายขณะที่อยู่บนเรือนนี้ก็ถือว่าเก่งแล้ว
เรือหาปลาลำนี้ไปถึงอินโดนีเซียเลย ก็คงจะได้ปลาเยอะ แต่เขาไม่ได้อะไรเลย แล้วก็ไม่มีโอกาสออกจากเรือเลยนะตลอด 3 ปี ไม่มีโอกาสได้ขึ้นฝั่ง อยู่แต่ในเรือ เรียกว่าเห็นแต่ทะเล อาจจะขึ้นฝั่งหรืออาจจะจอดฝั่ง
แต่ว่าเขาไม่สามารถจะขึ้นฝั่งได้ คือว่าถูกขังอยู่ในเรือ ชีวิตก็ลำบาก บางครั้งเกิดอุบัติเหตุ เช่น ลวดสลิงที่ใช้ในการลากอวนนี้มันทำให้นิ้วเขาขาด
แต่แล้ววันหนึ่งเรือจอดเทียบฝั่ง เขาก็หาช่องหนีออกมาได้ ทั้งเนื้อทั้งตัวมีแต่เสื้อผ้า เอกสารต่างๆไม่มีถูกยึดหมด กลายเป็นคนเร่ร่อนไปโดยปริยายมีแต่เสื้อผ้า เขาต้องเร่ร่อนจริงๆคือ ต้องนอนตามฟุตบาท เขาก็เลือกเอาสนามหลวงนั่นแหละเป็นที่ซุกหัวนอน
บางครั้งฝนตก เช่น หน้าฝน อย่างช่วงนี้นอนบนฟุตบาทสนามหลวงไม่ได้ ก็ต้องไปนอนอยู่หน้าร้านค้าหรือหน้าบ้านใครก็ได้ ที่มีหลังคากันฝน ฝนก็คงจะกระเซ็นมาถูกเขา แต่เขาก็พยายามนอนให้หลับ
บางครั้งเจ้าของบ้านเปิดประตูพบว่าเขานอนอยู่หน้าบ้านก็ไล่ ทั้งที่ยังไม่สว่างเลย เขาก็ต้องไป หาตู้โทรศัพท์สาธารณะเป็นที่หลับนอน เพราะว่ามันกันฝนได้ ลองนึกภาพ นอนในตู้โทรศัพท์สาธารณะนี้มันจะนอนได้อย่างไร แต่เขาก็นอนได้
แต่แม้จะเป็นคนเร่ร่อน เขาก็ไม่ได้คิดขอทาน พยายามหาเงินด้วยตัวเอง วิธีหาเงินก็คือ ไปคุ้ยขยะที่พอจะเอาไปขายได้ และของที่ขายได้ดีก็คือขวด ขวดพลาสติกบ้าง ขวดแก้วบ้าง เขาบอกว่าวันหนึ่งขายขวดได้ประมาณสัก 40 - 60 บาท เท่านี้เขาก็พอใจแล้ว
คิดดูทั้งวันได้เงินแค่ 60 บาท เขาก็คิดว่าพอใจแล้วเพราะว่า 20 บาทนี้เขาจะเก็บไว้กิน อีก 40 บาทนี้เก็บไว้เผื่อจะได้สร้างเนื้อสร้างตัวได้บ้าง 20 บาทนี้กินทั้งวันนะ สำหรับบางคน 20 บาทยังไม่เท่ากับค่ากาแฟเลย แต่นี่ 20 บาทเขากินได้ทั้งวัน เงิน 40 บาท
เขาเคยเก็บได้ถึง 1000 กว่าบาท ถือว่าประหยัดมาก เพราะว่าไม่เอาเงินไปทำอย่างอื่นเลย นอกจากอาหาร แล้วก็เก็บไว้เพื่ออนาคต น้ำอัดลมหรือว่าขนม เขาไม่เสียเงินเพื่อสิ่งนี้เลย แต่ขนาดเก็บเงินเป็น 1000 บาทในกระเป๋าก็ยังมีคนมาล้วงเอาไปจนได้ ตอนนอนอยู่บนฟุตบาท คงไม่รู้ตัว ก็มีคนมาล้วงเอาเงินไปหมดตัวเลย แม้แต่ข้าวกล่องที่เขาซื้อมาหวังจะกินบางทีก็ถูกขโมย ชีวิตลำบากมาก
เขาบอกว่าวันหนึ่ง ๆ จะต้องมีอย่างน้อย 3 บาท เงิน 3 บาทคือค่าอะไรบ้าง ค่าเข้าห้องน้ำ ส่วนข้าวก็ไปขอจากโรงทานได้ แต่ว่า 3 บาทนี้สำคัญมาก สำหรับค่าเข้าห้องน้ำ ที่จริงค่าเข้าห้องน้ำ 5 บาท แต่ว่าเขาคงขอต่อรองเหลือ 3 บาท ไม่มีข้าวกินอย่างน้อยก็ขอได้ แต่จะเข้าห้องน้ำวันไหนไม่มีเงินทำอย่างไร ก็ลอบถ่ายแถวริมคลองหลอด ก็คงทำตอนกลางคืนแหละ
อีกอย่างหนึ่งที่เขาต้องมีนอกจากเสื้อผ้าและเงิน 3 บาท ก็คือยาพาราเซตามอล เพราะว่ามันเป็นยาสารพัด ปวดหัวตัวร้อนเป็นไข้ก็เอายาพารา แค่นี้แหละในชีวิตของเขาอยู่ได้ ส่วนที่พักนี้ก็อย่างที่ว่า อาศัยพักเอาหน้าบ้าน หน้าร้านถ้ามีฝน หรือไม่ก็ตู้โทรศัพท์สาธารณะ แต่เดี๋ยวนี้มันไม่มีแล้วในกรุงเทพ ลำบากมาก แต่ถ้าไม่มีฝนก็ไปสนามหลวง
ถามว่าทำไมไม่กลับบ้าน เขาบอกว่ากลับไม่ได้ อับอาย ไม่กล้าสู้หน้าคนที่บ้าน จนกระทั่งคนที่บ้านนึกว่าเขาตายไปแล้ว เขาบอกว่าชีวิตเขานี้รู้สึกด้อยมาก แม้แต่จะมองหน้าผู้หญิงยังไม่กล้ามองเลย อาย ไม่กล้ารักใครเพราะว่าต่ำต้อย ชีวิตย่ำแย่มาก
เขาบอกว่าถ้าวันไหนหาเงินไม่ได้ ก็ไปรับของแจก ไปรับอาหารตามโรงทาน เวลามีงานวัดที่ไหนถ้าอยู่ใกล้ๆ ปากคลองตลาด เขาจะ ไปเก็บดอกไม้ที่คนทิ้ง แล้วก็เด็ดกลีบเหี่ยวๆ เพื่ออะไร เพื่อไปขาย คือไม่คิดขอทานนะ แต่ว่าอะไรที่ขายได้ก็ขายแม้กระทั่งดอกไม้ เพราะว่าตามวัดก็มีคนต้องการดอกไม้ไปไหว้พระ เขาก็เอาดอกไม้ไปขายถูกๆ ก็พอได้เงินมากินข้าวบ้าง เรียกว่าชีวิตนี้ลำบากมาก
หลายคนที่อยู่ในกรุงเทพ ไม่เคยรู้นะว่า มีคนจำนวนมากที่มีชีวิตลำบากแบบนี้ เวลาเราเห็นคนเร่ร่อน เราก็รู้สึกดูถูกเขา แต่ไม่ได้รู้เลยว่าอะไรทำให้เขามาเป็นคนเร่ร่อน และเขาต้องสู้กับชีวิตอย่างไรบ้าง แต่อย่างน้อยเขาก็มีศักดิ์มีศรี คือไม่ขโมย และพยายามไม่ขอเงินใคร แต่ว่าพยายามหาของไปขาย
วันหนึ่งเขาก็ได้ข่าวว่า มีโครงการหนึ่งของมูลนิธิกระจกเงา ชื่อว่า โครงการแบ่งปัน โครงการนี้เขารับบริจาคสิ่งของ เอาไปทำอะไร ไม่ได้เอาไปแจกแต่เพื่อสร้างอาชีพให้กับคนที่มีรายได้น้อย โดยเฉพาะกับคนเร่ร่อน วิธีการก็คือว่า ของที่ได้มาจากการบริจาคนี้ จะขายให้กับคนเร่ร่อน ไม่ใช่ให้ฟรี ขาย แต่ขายถูกๆ เพื่อให้คนเร่ร่อนนี้เอาไปขายต่อ
พอเขาได้ข่าวเขาก็ไปทันทีเลย วันนั้นเขามีอยู่ 10 บาท เขาก็ซื้อกระเป๋าใบละ 5 บาทมา 2 ใบแล้วก็ไปนั่งขายที่คลองหลอด ได้ใบละ 100 มี 2 ใบก็ได้ 200 เขาดีใจมากเลยไม่เคยได้เงินมากขนาดนี้ แล้วเขาก็เลยเวียนกลับไปที่มูลนิธิกระจกเงา เพื่อซื้อของที่ได้รับบริจาค แต่ก่อนมี 10 บาทตอนนี้มี 200 บาท แล้วก็ซื้อได้เยอะหน่อย แล้วก็เอาไปขายก็ได้เงินมากขึ้น
เขาบอกตอนนี้เขาเลิกเป็นคนเร่ร่อนแล้ว เขากลายเป็นพ่อค้า ตอนหลังก็กลายเป็นพ่อค้าขายของตามตลาดนัด บอกเป็นพ่อค้าเต็มตัวเลย เขาบอกว่าวันแรกๆ ที่เขาได้เงิน นอกจากซื้ออาหารแล้ว สิ่งหนึ่งที่เขาทำ คือไปหาห้องเช่า ในรอบหลายปีนี้ไม่เคยได้นอนในห้องเช่าเลย หรือนอนในห้องอย่างนี้เป็นครั้งแรก เขาบอกมันเหมือนสวรรค์เลย
ห้องเช่าก็คงไม่ได้ราคาแพงอาจจะวันละ 30 บาท 50 บาท แต่เขาบอกมันเหมือนสวรรค์เลย เพราะว่ามีความเป็นส่วนตัว ปลอดภัย ไม่ต้องกลัวคนมาล้วงเอาเงิน และก็ไม่มีเสียงรถรบกวน มันคือสวรรค์เลย
สำหรับบางคน ห้องเช่าแบบนี้คือนรก เพราะว่าไม่มีแอร์ ไม่มีเตียงนุ่มๆ แต่สำหรับชายคนนี้มันคือสวรรค์เลย ชื่อเล่นเขาชื่ออ้วน ตอนหลังเขากลับบ้าน แล้วมีเงินกลับบ้าน กลับไปหาพ่อแม่เขาบอกเขาดีใจมากเลย ทุกวันนี้มีเงินส่งให้ที่บ้านทุกเดือนเลย มีโอกาสได้ดูแลแม่ แล้วรู้สึกว่าเป็นผู้เป็นคนมากขึ้น
เรื่องราวที่เขาเล่านี้น่าสนใจ ทำให้เรารู้เลยว่า มีคนจำนวนไม่น้อยนี้เขาเดือดร้อนมาก และบางทีก็ถูกคนอื่นเหยียดหยามว่าเป็นคนเร่ร่อนจรจัด แต่ที่จริงเขามีความเพียรพยายามมาก และวิธีการช่วยของมูลนิธิกระจกเงาก็น่าสนใจ รับของบริจาคมาแต่ไม่ใช่แจก ขาย ขายถูกๆ เพื่อให้คนเร่ร่อนเอาไปขายและรู้สึกภูมิใจว่าเป็นเงินที่ได้จากน้ำพักน้ำแรง
คนเราเวลาได้รับของแจก มันไม่รู้สึกดีเท่ากับเอาของนั้นไปขายแล้วได้เงินมา มันทำให้คนเร่ร่อนรู้สึกว่าตัวเองมีศักดิ์ศรี ไม่ใช่แบมือขอ และมันทำให้เรารู้เลยว่า ของบริจาคของเราบางอย่างที่เราทิ้งแล้ว ไม่เห็นคุณค่าของมัน แต่สำหรับคนอย่างอ้วน มันมีความหมายมาก กระเป๋าที่บางคนอยากทิ้งแต่ว่าเปลี่ยนใจเอาไปบริจาค มันต่อชีวิตเขาได้เลย เขาซื้อมาใบละ 5 บาทขาย 100 มันมีความหมายมาก
เพราะฉะนั้น อันนี้ก็เป็นวิธีการช่วย ช่วยคนที่ยากไร้ โครงการนี้ชื่อเต็มๆ ว่า “โครงการแบ่งปันเพื่อการเปลี่ยนแปลง” เปลี่ยนแปลงตัวคนที่เป็นคนยากไร้ และก็เปลี่ยนแปลงสังคมได้ด้วย เพราะมันทำให้คนที่เร่ร่อนนี้หันมามีอาชีพ และภูมิใจในตัวเอง
เพราะฉะนั้น ใครที่มีของที่เหลือใช้แล้วอยากจะบริจาคนะ การบริจาคของเรา ของที่เราบริจาคมันจะไปช่วยคนได้ไม่น้อยเลย และน่ายินดีที่มีโครงการแบบนี้เยอะ แต่ว่ามูลนิธิกระจกเงาเขาแข็งขันมาก
และเขาให้เกียรติคนที่มารับของบริจาคหรือซื้อของบริจาคจากเขา เขาเรียกว่าเป็น คู่ค้าของเขา มันทำให้คนที่มาซื้อถูกๆ นี้มีความภูมิใจว่าฉันได้เป็นคู่ค้า ฉันได้ทำอะไรที่มีหน้ามีตา ซึ่งอันนี้ก็เป็นเรื่องที่พวกเราควรจะช่วยกันสนับสนุน
และขณะเดียวกันก็ได้เรียนรู้ด้วยว่า ชีวิตของเราบางทีเรารู้สึกว่ามันแย่ แต่สำหรับบางคนชีวิตของเรา มันเป็นชีวิตที่เหมือนกับขึ้นสวรรค์เลยทีเดียว มีบ้าน มีห้อง มีที่พักอาศัย ไม่ต้องไปขอใช้ส้วมสาธารณะเพราะมีส้วมส่วนตัว อันนี้คือสิ่งที่เราควรจะตระหนักเอาไว้.