พระอาจารย์ไพศาล วิสาโล วัดป่าสุคะโต แสดงธรรมก่อนฉันเช้าวันที่ 25 กันยายน 2567
มีคำหนึ่งที่หลายคนรู้สึกคุ้นหู “หน้าชื่นอกตรม” อีกคำหนึ่งที่อาจจะได้ยินน้อยกว่าหน่อยก็คือ “อกตรมก้มหน้า” คนส่วนใหญ่เวลาทุกข์ หรือว่าอกตรมนี้ก็ไม่ค่อยหน้าชื่นเท่าไหร่ ส่วนใหญ่ก็จะก้มหน้า
และเดี๋ยวนี้เราเห็นคนก้มหน้าเยอะ ไปที่ไหนก็เห็นคนก้มหน้า แต่หลายคนอาจจะไม่ได้อกตรม ที่ก้มหน้าก็เพราะว่าดูโทรศัพท์มือถือ ดูจนติด ไปไหนก็ก้มหน้าดูโทรศัพท์มือถือ กินข้าวก็ก้มหน้าดูโทรศัพท์มือถือ ไปเรียนหนังสือก็ก้มหน้าแต่ไม่ได้ฟังอาจารย์สอน ดูโทรศัพท์มือถือ เรียกว่าติดโทรศัพท์
แต่ที่จริงไม่ได้ติดโทรศัพท์ที่เป็นเครื่อง แต่ว่าติดสิ่งที่เป็นเนื้อหาในโทรศัพท์มือถือ เช่น ติดโซเชียลมีเดีย เช่น Facebook หรือ Instagram ซึ่งถ้าก้มหน้าดูไปนานๆ ไม่นานก็อกตรม แต่ก่อนนี้อกตรมจึงก้มหน้า แต่ระยะหลังนี้อกตรมเพราะก้มหน้า
ทีแรกอาจจะไม่ได้อกตรมไม่ได้ทุกข์เท่าไหร่ แต่พอก้มหน้าดูโทรศัพท์มือถือไปนานๆ โดยเฉพาะดูโซเชียลมีเดีย อกตรมเลยคือทุกข์ เพราะว่าเห็นคนอื่นเขามีความสุขกัน เขาได้ไปเที่ยวยุโรป ไปเที่ยวสวิตเซอร์แลนด์ ไปเที่ยวอังกฤษ อิตาลี ญี่ปุ่น แต่เราต้องมานั่งจับเจ่าทำงาน
เวลาดูโซเชียลมีเดีย หลายคนก็จะรู้สึกน้อยเนื้อต่ำใจว่า ทำไมฉันไม่มีความสุขเหมือนเขา ทำไมฉันไม่มีโอกาสไปเที่ยวเหมือนเขา รู้สึกอิจฉาแล้วก็รู้สึกหดหู่ น้อยเนื้อต่ำใจในโชคชะตา
หรือบางทีก็ไม่พอใจเจ้านายที่มาบังคับให้ตัวเองต้องทำงานแทนที่จะได้ไปเที่ยว แบบนี้นานๆ ก็อกตรม ยังไม่นับประเภทว่าเห็นคนอื่นเขาสวยกว่า เขารูปร่างหน้าตาดีกว่า แต่ฉันมีน้ำหนักเกิน อ้วน รู้สึกด้อย ดูไปนานๆ ก็เกิดอาการซึมเศร้า เป็นกันเยอะ
ไม่นับประเภทถูกบูลลี่ ถูกด่าว่า ถูกประชดประชัน หรือว่าเกิดความรุ่มร้อน เพราะว่าเห็นข้อความที่มันกระตุ้นให้เกิดความโกรธ ความเกลียด แบบนี้เรียกว่าทั้งอกตรมทั้งรุ่มร้อน
แต่ที่มันแย่กว่าโซเชียลมีเดียก็คือ ติดเกม ติดกันเยอะมาก ติดเกมตั้งแต่เด็กจนถึงวัยรุ่น ถึงผู้ใหญ่เลย ติดแบบติดหนักเลยจนไม่เป็นอันทำงาน ไม่ได้หลับไม่ได้นอน สุขภาพย่ำแย่ การงานก็ไม่ทำ ไม่เป็นอันทำงานและก็ไม่อยากสุงสิงกับผู้คนแม้จะเป็นพ่อแม่ หรือว่าเพื่อนฝูง เก็บตัว
หนักกว่านั้นพอเล่นเกมติดเกมหนัก ๆ เข้าไม่มีเงินจ่าย ก็ไปขโมยเงิน มีเด็กหลายคนขโมยเงินจากพ่อแม่ไปเล่นเกม ไม่ได้ไปซื้อยา ขโมยเป็นแสน บางทีเป็นล้านเลย เพราะเล่นแล้วมันติด บางทีไม่ได้ขโมยเงินจากพ่อแม่แต่ขโมยเงินจากเพื่อนร่วมงาน ขโมยเงินจากคนใกล้ชิด ไม่ใช่แค่ร้อยสองร้อย เป็นพันเป็นหมื่น เรียกว่าชีวิตนี้ตีบตันเลย
อันนี้ขนาดติดเกม ถ้าติดการพนัน พนันออนไลน์ยิ่งหนักเข้าไปใหญ่ พวกนี้ในที่สุดก็อกตรม เพราะว่าเป็นหนี้เป็นสิน หรือว่าบางทีก็ไม่มีเงินจ่ายก็ติดคุกติดตะราง หรือว่าโดนคดีความ ถูกไล่ออกออกจากงาน เรียกว่าชีวิตนี้หมดไปเลยเพราะว่าติดเกม อันนี้หนักแล้ว ติดการพนันอีก และที่ยิ่งหนักกว่า คือติดยาด้วย
เพราะฉะนั้น เดี๋ยวนี้คนก้มหน้าดูโทรศัพท์ไปนานๆ สุดท้ายมันก็อกตรม มีปัญหาเยอะ และมันยังติดอีกอย่างหนึ่ง อันนี้อาจจะดูไม่หนักหนา แต่ว่าก็เกิดขึ้นกับหลายคน
อาการของการติดชนิดนี้ก็คือว่า ตื่นเช้าขึ้นมาก็คิดแล้วว่าวันนี้จะโพสต์อะไรดี กลางวันนี้ผ่านไปหลายชั่วโมงแล้วก็เครียด เพราะไม่รู้จะเอาอะไรมาโพสต์ อันนี้เรียกว่า ติดภาพลักษณ์ เสพติดยอดไลท์ เสพติดเรตติ้ง คือต้องโพสต์ทุกวัน ต้องหาเรื่องโพสต์ จะเป็นข้อความก็ดี จะเป็นรูปภาพก็ดี ตื่นเช้าขึ้นมาจะต้องคิดแล้วว่าจะโพสต์อะไร ถ้าไม่รู้ว่าโพสต์อะไรนี้ก็เครียดแล้ว หงุดหงิดแล้ว
และบางทีพอไม่รู้ว่าโพสต์อะไร เวลาคุยกับผู้คน ใจก็ไม่ได้อยู่กับคำพูดของเขา ใจก็นึกแต่ว่าวันนี้เราจะโพสต์อะไรดี หรือบางทีก็คิดว่า จะเอาข้อความที่เขาเล่าให้เราฟังมาปรับแต่งเป็นข้อความสำหรับโพสต์อย่างไรบ้าง
บางทีอยู่วัดฟังธรรม ไม่เป็นอันฟังหรอกจะคิดแต่ว่าจะโพสต์อะไรดี จะโพสต์อะไรดี หรือบางทีก็คิดแต่ว่า จะเอาข้อความที่ได้ยินนี้ไปโพสต์อย่างไรบ้าง ไปไหนมาไหนก็ติดโทรศัพท์ไว้เพื่อจะเก็บภาพเก็บรูป จะได้มีอะไรโพสต์
อันนี้เรียกว่าเป็นการติด ติดโซเชียลมีเดียก็ได้ แต่ว่าเรียกว่าเป็นการติดภาพลักษณ์ เสพติดเรตติ้งเพราะว่าถ้าไม่โพสต์ หรือว่าขาดหายไปเดี๋ยวเรตติ้งจะตก เดี๋ยวยอดไลค์จะน้อยลง
อันนี้มันเป็นการแสวงหาหรือประกาศตัวตนแบบหนึ่ง เดี๋ยวนี้คนต้องการมีตัวตนในโลกเสมือน และการที่จะมีตัวตนในโลกเสมือนนั้นมันก็ต้องใช้วิธีการโพสต์บ่อยๆ โพสต์เยอะๆ
บางคนไม่ใช่แค่ได้โพสต์ทุกวัน โพสต์หลายครั้งในหนึ่งวันเลย เพื่อจะได้ประกาศตัวตนว่า มีฉันอยู่ในโลกเสมือน หรือว่าต้องการที่จะสร้างภาพลักษณ์ว่า ฉันเป็นคนที่สนใจธรรมะ โพสต์ธรรมะแบบรัวๆ เลยสร้างภาพว่าเป็นคนสนใจธรรมะ
แต่ว่าลึกๆ มันเป็นการบ่งบอกเป็นนัยยะว่า ยังมีความยึดติด ยังหลงยึดในอัตตา จึงต้องการประกาศตัวตน หรือสร้างภาพตัวตนว่าฉันเป็นคนมีธรรมะ ข้อความที่โพสต์นี้สอนให้คนปล่อยวาง ปล่อยวางตัวตน แต่ว่าลึกๆ สิ่งที่ทำนี้มันแสดงว่ายังไม่ปล่อยวาง ยังอยู่ในการครอบงำของอัตตา
เพราะว่าต้องการสร้างการยอมรับ ต้องการสร้างภาพลักษณ์ของนักปฏิบัติธรรม หรือคนใฝ่ธรรม แล้วลึกๆ ก็ไม่มีความสุขเพราะว่าความเครียด คนเราไม่ใช่ว่าจะมีเรื่องโพสต์ได้ทุกวันหรือว่าทุกชั่วโมง
เพราะฉะนั้น ในใจก็จะคิดถึงแต่เรื่องจะโพสต์อะไร ถ้าไม่รู้ก็แชร์ดีกว่า หาเรื่องแชร์ ชีวิตคนเราก็เครียดอยู่แล้วในวันๆ หนึ่ง แต่หลายคนก็หาเรื่องเพิ่มขึ้นมาเพื่อให้เครียดมากขึ้น อันนี้ก็เรียกว่าเป็นการเสพติดแบบหนึ่ง เสพติดเรตติ้ง เสพติดภาพลักษณ์
บางคนบอกว่าไม่จริงหรอก ที่ฉันทำนี้เพื่อประโยชน์ของผู้คนจะได้รู้ว่า มันมีอะไรเกิดขึ้นบ้าง จะได้รับข้อความดีๆ แง่คิดดีๆ ฉันไม่ได้ทำเพื่อสร้างภาพตัวตน หรือว่าติดในภาพลักษณ์ ติดในเรตติ้ง
วิธีที่จะพิสูจน์ว่าไม่ได้ติดในภาพลักษณ์ หรือว่าติดเรตติ้ง ก็คือว่า ลองไม่โพสต์ดูสักอาทิตย์หนึ่ง หรือสองอาทิตย์ ถ้ามีอาการกระวนกระวายหรือลงแดง แสดงว่าใช่แล้ว
และส่วนใหญ่ก็เป็นอย่างนั้น พอบอกว่าไม่โพสต์ก็จะเริ่มกระสับกระส่ายแล้ว อย่าว่าแต่สองวันเลย แค่วันเดียวเพราะไม่ได้โพสต์ก็กระสับกระส่ายแล้ว ยิ่งไม่ได้โพสต์หนึ่งอาทิตย์สองอาทิตย์ ยิ่งกระสับกระส่ายเข้าไปใหญ่
นี่แสดงว่ายึดติดแล้ว ยึดติดภาพลักษณ์ หรือว่าต้องการประกาศตัวตนในโลกเสมือน เพราะว่าอยากจะมีตัวตนในโลกจริง แต่ว่าวิธีที่จะสร้างตัวตนในโลกจริงได้ก็ต้องไปประกาศตัวตน หรือสร้างตัวตนนั้นในโลกเสมือนก่อน
อันนี้เขาเป็นที่มาของความทุกข์ของผู้คน แม้กระทั่งคนที่สนใจธรรมะ แต่ไม่รู้เท่าทันอำนาจของตน สุดท้ายก็อกตรมเหมือนกัน
เพราะฉะนั้น คนที่อกตรมเพราะว่าติดโทรศัพท์มือถือ ติดโซเชียลมีเดีย ติดเกม ติดการพนัน หรือเว็บพนันออนไลน์ แล้วชีวิตรู้สึกหดหู่เศร้าหมอง ลองเงยหน้าขึ้นมาก็ดี อย่าเอาแต่ก้มหน้าให้เงยหน้าขึ้นมา หรือมองให้เห็นท้องฟ้า ฟ้าที่มันกว้างๆ เห็นธรรมชาติรอบๆ ตัวเห็นผู้คนบ้าง มันก็จะช่วยได้
ไม่เช่นนั้นถ้าเอาแต่ก้มหน้าอย่างเดียวนี้ก็อกตรม หรือว่าถ้าเล่นแต่โพสต์อย่างเดียว หาเรื่องโพสต์ตลอดเวลามันก็จะเครียด กินข้าวก็คิดแต่ว่าจะโพสต์อะไร อาบน้ำก็คิดแต่ว่าจะโพสต์อะไร
แทนที่จะอยู่กับปัจจุบัน มีสติ มีความรู้เนื้อรู้ตัว ก็กลายเป็นว่าใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัว ทั้งที่ข้อความที่โพสต์สอนให้รู้สึกตัว รู้สึกตัว แต่ว่าใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัวเลย เพราะอะไร เพราะคิดแต่ว่าจะโพสต์อะไรดี
อันนี้ต้องรู้เท่าทันกิเลสด้วย คือกิเลสที่ชื่อว่ามานะ ความอยากให้คนยอมรับ อยากสร้างภาพลักษณ์ให้ดูดี.