พระอาจารย์ไพศาล วิสาโล วัดป่าสุคะโต แสดงธรรมก่อนฉันเช้าวันที่ 22 กันยายน 2567
มีผู้หญิงคนหนึ่งเป็นอาจารย์สอนที่มหาวิทยาลัยแห่งหนึ่ง วันหนึ่งก็ได้ข้อความจากเพื่อนรุ่นพี่ซึ่งเป็นอาจารย์มหาวิทยาลัยเดียวกัน บอกว่าช่วยสอนแทนให้หน่อย เพราะว่ามีงานสอนอยู่งานหนึ่ง ทำให้ไม่สะดวกมาสอน ให้มาช่วยสอนแทนให้หน่อย
ซึ่งเป็นเรื่องปกติเพราะว่าบางครั้งอาจารย์คนนี้เวลาไม่ว่าง ก็ขอให้คนอื่นมาช่วยสอนแทนเช่นกัน แต่ว่าคราวนี้เธอติดภารกิจหลายอย่างก็เลยปฏิเสธไป
หนึ่งเดือนต่อมา ก็ได้ทราบว่าอาจารย์ที่มาขอให้เธอช่วยสอนนี้เสียชีวิตแล้ว เสียชีวิตเพราะเป็นมะเร็ง แล้วก็ป่วยมานานแล้ว แต่ว่าไม่ได้บอกให้เพื่อนๆ รู้เลย และสาเหตุที่อาจารย์คนนี้ไปขอให้อาจารย์สาวคนนี้ช่วยสอน ก็เพราะว่าไม่สบายมาก แต่ว่าก็ไม่ได้บอกเหตุผลที่ไปสอนไม่ได้เพราะว่าป่วยหนัก
ส่วนอาจารย์สาว พอเธอทราบว่า อาจารย์รุ่นพี่ที่มาขอให้ช่วยสอนนั้นเสียชีวิตแล้ว ก็รู้สึกเสียใจมาก รู้สึกผิด เธอบอกว่าถ้ารู้ว่าอาจารย์รุ่นพี่คนนี้ป่วย หรือถ้ารู้ล่วงหน้าว่าอีกหนึ่งเดือนเขาจะตาย เธอจะไม่รีรอเลยก็จะรับช่วยสอนแทนให้ แต่เธอก็ไม่รู้ว่าอาจารย์คนนี้ป่วยมาก และก็ไ ม่รู้ว่าจะตายในอีกหนึ่งเดือนต่อมา
อันนี้ก็เป็นธรรมดา คนเราไม่สามารถจะรู้อะไรได้ทุกอย่าง เราไม่สามารถจะรู้ว่าคนที่เรารักคนที่เราผูกพันด้วยนี้จะตายเมื่อไหร่ อย่าว่าแต่คนอื่นเลย ตัวเราเองเราก็ยังไม่รู้เลย แต่ก็ยังรู้สึกผิดเพราะว่าปฏิเสธที่จะช่วยเหลือทั้งๆ ที่มีภาระ
เธอก็ได้ข้อคิดว่าการช่วยเหลือคน โดยเฉพาะคนที่มีความคุ้นเคยผูกพันกันนี้ หรือเคยช่วยเหลือเกื้อกูลกันมานี้ ไม่ควรรีรอไม่ควรผลัดผ่อน ถ้าทำได้ทำเลย และเธอก็เอาเรื่องนี้มาบอกให้คนอื่นเป็นข้อคิดเป็นอุทาหรณ์ด้วยว่า การช่วยเหลือใครก็ตามหรือการเอื้อเฟื้อใครก็ตามโดยเฉพาะคนที่คุ้นเคย คนที่ผูกพัน คนที่เคยมีบุญคุณต่อกัน อย่ารีรอ ถ้าทำได้ทำเลย
อันนี้ก็เป็นข้อคิดเตือนใจสำหรับทุกคน เพราะว่าคนเราไม่รู้ว่าจะได้เจอกันอีกครั้งหนึ่งเมื่อไหร่ เจอกันครั้งนี้ก็อาจจะไม่ได้เจอกันอีกเลย อย่าว่าแต่คนที่ป่วยโดยที่ไม่ได้บอกกล่าวเลย บางทีเราก็รู้ว่า ผู้มีพระคุณนี้ป่วยหนักแต่ว่าหลายคนก็รั้งรอ เพราะคิดว่ายังมีเวลา
อย่างมีพยาบาลคนหนึ่ง ตั้งแต่เล็กเลยยายเป็นคนเลี้ยง เพราะว่าพ่อแม่ไม่มีเวลาต้องไปค้าขายในตลาด ยายก็เลี้ยงมาตลอด จนกระทั่งเธอสอบเข้าพยาบาลได้ ไปเรียนพยาบาลอยู่ต่างจังหวัด บ้านเกิดของเธออยู่ที่พัทลุง เธอไปเรียนที่ต่างจังหวัด นานๆ ถึงจะได้กลับไปเยี่ยมบ้าน มาเยี่ยมบ้านก็ดีใจได้เจอยาย ได้เจอพ่อแม่
แต่ก็ไม่ได้ช่วยเหลืออะไรท่านเท่าไหร่เพราะว่าเรียนหนัก พอได้เป็นพยาบาลก็มาบรรจุที่โรงพยาบาลบ้านเกิดที่พัทลุง ก็ดีใจว่ากลับมาบ้าน จะได้ดูแลยายบ้าง เพราะว่ายายก็แก่แล้ว แต่สุดท้ายก็ไม่ได้ดูแลเพราะว่างานที่โรงพยาบาลก็เยอะ อย่างที่เราทราบพยาบาลในโรงพยาบาลรัฐนี้งานเยอะมาก แค่มีเวลาหลับนอนพักผ่อนพอเพียงก็ยากแล้ว
ก็เลยเป็นอันว่าไม่ค่อยได้ดูแลยายเท่าไหร่ แล้ววันหนึ่งยายก็ป่วย ป่วยก็ดูเหมือนจะไม่หนักมาก เธอก็ดีใจที่ยายป่วยแล้วมารักษาตัวที่โรงพยาบาลที่เธอทำงานอยู่ หวังว่าจะได้ไปดูแลยายบ้างที่โรงพยาบาล ปรากฏว่าไม่ค่อยมีเวลา มาเยี่ยมยายที่โรงพยาบาลบ้างก็เป็นครั้งคราว
วันหนึ่งยายปรารภว่า ทะเลน้อยมีการสร้างสะพานใหม่ เพิ่งเสร็จ สะพานนี้ถือว่าในเวลานั้นเมื่อ 10 ปีที่แล้วนี้ ถือว่าเป็นสะพานที่ยาวที่สุดในประเทศไทย ยายบอกว่ายายอยากไปเห็น ช่วยพายายไปหน่อย
วันนั้นเป็นวันศุกร์ เธอก็บอกว่าได้เลยยาย แต่ว่าเสาร์-อาทิตย์นี้หนูไม่ว่าง หนูต้องไปงานรับปริญญาของเพื่อน เพื่อนเขาให้ไปช่วยถ่ายรูปหน่อย แล้วก็วันรุ่งขึ้นคือวันอาทิตย์ก็มีเลี้ยงรับปริญญา อาทิตย์หน้าก็แล้วกันนะ ยายก็โอเค อาทิตย์หน้าก็อาทิตย์หน้า
แต่ปรากฏว่าพอถึงคืนวันอาทิตย์ยายก็ทรุดหนักต้องเข้าห้องไอซียู เป็นอันว่าพายายไปเที่ยวชมสะพานที่ทะเลน้อยไม่ได้ และยายก็อาการเพียบหนัก จนกระทั่งเสียชีวิตในที่สุด เธอเสียใจมากเลยว่า รู้อย่างนี้พายายไปชมสะพานใหม่ที่ทะเลน้อยตั้งแต่วันนั้นแล้ว เพราะอะไร เพราะว่า สะพานอยู่ไม่ไกลจากโรงพยาบาล แค่ 20 กิโลเอง
จริงๆ นี้สามารถจะพาไปได้เลยเย็นวันศุกร์ หรือว่าอาจจะพาไปเสาร์-อาทิตย์ก็ได้ แต่เธอคิดว่าเรื่องรับปริญญาของเพื่อน มันเลื่อนไม่ได้ พายายไปเที่ยวชมสะพานนี้มันเลื่อนได้ ก็เลยเลื่อนไม่พายายไปสะพานใหม่ พอยายตาย ก็เสียใจว่าไม่น่าผัดผ่อนเลย เราก็ไม่เคยได้ทำอะไรให้กับยาย นี่อาจจะเป็นครั้งแรกก็ได้ที่ยายขอเรา แต่เราก็รีรอ ผัดผ่อน เพราะเชื่อว่ามีเวลา
แต่ว่าของแบบนี้มันเอาแน่เอานอนไม่ได้ คนป่วยจะทรุดเมื่อไหร่ก็ได้ ก็เป็นเรื่องที่ทำให้เธอรู้สึกผิดติดค้างใจมาเป็นสิบปีเลย
คล้ายๆกับอีกคนหนึ่ง เขาเป็นวัยรุ่น ตั้งแต่เล็กยายก็เลี้ยงมา พ่อแม่ไม่ค่อยได้เลี้ยงเท่าไหร่ แล้วก็พอเรียนมหาวิทยาลัยก็ไปเรียนที่กรุงเทพ ได้งานก็ได้ที่กรุงเทพ ไม่ค่อยได้กลับไปเยี่ยมยาย เท่าไหร่ จนได้ข่าวว่ายายป่วย ก็ยังลางานไม่ได้ ยายทรุดลงไปเรื่อย ๆ
สุดท้ายก็ลางานได้ เดินทางไปถึงบ้านเกิดของตัว ก็ค่ำแล้ว บ้านของยายหรือบ้านของตัวเองนี้อยู่ในซอย ก่อนที่จะไปเยี่ยมยายก็คิดว่าไปเยี่ยมเพื่อนสักหน่อย เพื่อนอยู่ปากซอย คุ้นเคยกันมาไม่ได้เจอกันมานานแล้ว ไปทักทายกันหน่อย ปรากฏว่าพอไปทักทายเข้า ก็ยืดยาวเลยเพราะว่าคอเดียวกัน คุยกันเรื่องบอล คุยกันเรื่องดนตรีจนดึกเลย เสร็จแล้วก็เลยไปเยี่ยมยายได้
พอไปถึงบ้านของยาย ปรากฏว่ายายเพิ่งตาย เสียใจมากเลย ก็มาคิดย้อนว่าถ้าหากว่าไปถึงแล้วตรงไปที่บ้านยายเลย ก็คงจะได้ดูใจยาย แต่นี่กลับรีรอ เจอเพื่อนก่อน คุยกับเพื่อนก่อนยังมีเวลาอีกตั้ง 2-3 ชั่วโมง คุยแค่ 15 นาที
แต่ปรากฏว่ามันยืดยาวเป็นชั่วโมงเลย กว่าจะไปถึงบ้านยายได้ ยายพึ่งตาย ทั้งชีวิตนี้ไม่เคยตอบแทนบุญคุณของยายเลย แม้กระทั่งเรียนจบแล้วก็ไม่ค่อยได้มาเยี่ยม ถึงเวลายายป่วยควรจะมาเยี่ยมก็ผัดผ่อน ถึงเวลาจะเยี่ยม มาถึงบ้านแล้วก็ยังโต๋เต๋ นี่ถ้าหากว่าไม่ไปโต๋เต๋ หรือไปเฮฮาสังสรรค์กับเพื่อนที่ปากซอยนี้ ก็คงจะได้เห็นยายเป็นครั้งสุดท้าย และยายคงจะดีใจมากที่ได้เจอหลาน
ทั้งหมดนี้มันสอนให้เรารู้ ว่าอย่ารีรอ การทำความดีกับใครก็ตาม หรือว่าคนที่ป่วยนี้ ยิ่งถ้าป่วยหนักนี้ยิ่งต้องรีบทำเลย จะรีรอผัดผ่อนว่าเดี๋ยว อีกสักชั่วโมงหนึ่ง อีกสักวันหนึ่ง อันนี้เราประมาท เสร็จแล้วพอทำไปแล้วก็รู้สึกผิดติดค้างใจ แต่ถ้าเอามาเป็นบทเรียนก็ยังดี เพราะว่าเหตุการณ์แบบนี้มีโอกาสที่จะเกิดขึ้นได้อีกถ้าประมาท.