พระอาจารย์ไพศาล วิสาโล วัดป่าสุคะโต แสดงธรรมก่อนฉันเช้าวันที่ 19 กันยายน 2567
หญิงวัยกลางคนๆ หนึ่ง แต่งตัวภูมิฐาน เสื้อผ้าราคาแพง เข้าไปในวัดเพื่อทำบุญถวายสังฆทาน เสร็จแล้วก็ออกมา ไปเจอคุณยายขายของ เป็นขนมห่อ ถามว่าห่อละเท่าไหร่ ยายบอกว่าห่อละ 5 บาท ผู้หญิงคนนั้นก็เลยบอกว่า 5 ห่อ 20 ได้ไหม ถ้าไม่ได้ฉันไม่เอา
คุณยายก็บอกว่าได้เลย เพราะว่าตั้งแต่เช้านี้ฉันยังขายไม่ได้เลย คุณมาซื้อนี่ก็ถือว่าเป็นการประเดิม ฉันจะได้มีเงินไปเลี้ยงหลาน พอผู้หญิงคนนั้นซื้อของเสร็จ ก็นั่งรถ มีคนขับรถ รถก็ราคาแพง ขับรถไปไหน ไปภัตตาคารที่มีชื่อเพราะว่านัดเพื่อนเอาไว้
ร้านนั้นก็เป็นร้านหรู เธอก็สั่งอาหารสั่งของกิน แต่ละจานก็ราคาแพง กินนิดกินหน่อย ไม่ได้กินเยอะ อาหารเหลือทุกจานเลย พอเก็บเงิน คิดราคา 800 บาท เธอก็ควักให้ทันที 1,000 บาท แล้วบอกว่าที่เหลือนี้ไม่ต้องทอน พูดง่ายๆ คือให้ค่าทิป 200 ให้กับเจ้าของร้านอาหารนี้ แล้วเธอกับเพื่อนก็ออกจากร้านไป
มันน่าคิด กับคุณยายยากจนนั้น คุณนายคนนี้แกกดราคา แทนที่จะจ่าย 25 ก็จ่ายแค่ 20 แต่กับเจ้าของภัตตาคารร้านอาหารหรู เธอกลับใจใหญ่ให้ค่าทิปถึง 200 ดูมันขัดแย้งกัน
กับคนที่เขาเดือดร้อนนี้เธอกดราคา แต่ว่ากับคนที่เรียกว่าไม่ได้ขัดสนอะไรแถมมีฐานะ เธอกลับมีใจเอื้อเฟื้อ หลายคนเป็นอย่างนี้ ถามว่าทำไมถึงเป็นอย่างนั้น
ก็อาจจะเป็นเพราะว่า คุณนายคนนี้ต้องการแสดงอำนาจกับคนเล็กคนน้อย วิธีแสดงอำนาจอย่างหนึ่งก็คือ การกดราคา 25 ใช่ไหม เอา 20 พอ ถ้าไม่เอาฉันไม่ซื้อ นี่ก็เรียกว่าเป็นการใช้อำนาจ แต่ว่ากับเจ้าของภัตตาคารร้านหรูนี้ คุณนายนี้แกต้องการสร้างภาพว่า ฉันเป็นคนที่มีน้ำใจ สร้างภาพว่าฉันมีฐานะ ให้ทิปตั้ง 200
อันนี้ก็เป็นการสนองอัตตาทั้ง 2 กรณี เพราะว่าอัตตามันต้องการมีอำนาจเหนือผู้อื่น ว่าฉันเหนือ ฉันเก่ง ฉันใหญ่ แต่ขณะเดียวกันกับคนที่ร่ำรวยด้วยกัน หรือคนที่มีฐานะ ก็ต้องการแสดงภาพว่า ฉันเป็นคนใจกว้างใจใหญ่
เราก็ไม่รู้ว่าผู้หญิงคนนั้นตอนที่ไปทำบุญถวายสังฆทานนี้ อาจจะถวายเป็นพันก็ได้ อาจจะหลายพันเลย กับพระก็เต็มที่ แต่ว่ากับคนยากจนนี้กดราคา แม้แต่ 5 บาทก็ไม่ยอมควัก ต่อราคาเหลือ 20 แทนที่จะจ่าย 25
หลายคนเป็นอย่างนี้ ตระหนี่ หรือว่ากดราคากับคนยากไร้ เพราะเขาไม่มีทางปฏิเสธได้ มีคุณนายคนหนึ่งเป็นเจ้าของโรงงาน กับคนงานนี้เธอกดค่าแรงมากเลย ต่ำกว่าค่าแรงขั้นต่ำ อีก อ้างนู่นอ้างนี่ แต่ว่าเวลาทำบุญสร้างโบสถ์สร้างวิหารถวายเงินเป็นล้าน อันนี้แสดงว่ามันมีความผิดปกติแล้ว ก็เรียกว่าที่ถวายเงินเป็นล้านนี้ก็เพื่อสร้างภาพนั่นเอง
เดี๋ยวนี้ถวายอย่างเดียวไม่พอก็ต้องถ่ายรูปด้วย โพสต์ขึ้น Facebook และก็ติดป้ายว่า ฉันนี้บริจาคเงินสร้างโบสถ์หรือสร้างวิหารด้วยเงินเท่านั้นเท่านี้ การทำบุญอย่างนี้มันไม่ได้ช่วยลดกิเลสเลย และที่จริงน่าจะไม่ทำบุญ
แต่เวลาที่ใช้เงิน หรือเวลาเราจับจ่ายใช้สอยซื้ออะไรนี้ บางทีมันเป็นการสนองกิเลสของเราอย่างหนึ่งก็ได้ เช่น ต้องการแสดงอำนาจกับคนยากคนจน เพราะว่าเขาไม่มีทางปฏิเสธ หรือว่าจ้างให้ค่าแรงเดี๋ยวนี้ไม่ใช่คนไทยแล้ว อาจจะเป็นพม่า เป็นลาว เป็นเขมร ก็กดราคาไว้
แต่ว่าเวลาทำบุญนี้เต็มที่เลย หรือเวลาเลี้ยงอาหารเพื่อนนี้ไม่อั้น แถมทิปให้เป็นเงินหลายร้อย อันนี้เพื่อสร้างภาพ ซึ่งมันก็ไม่ได้มีผลดีกับจิตใจเลย
มีผู้หญิงคนหนึ่ง เวลาไปซื้อของไม่ว่าผู้ขายจะเป็นคุณป้า คุณลุง หรือคุณยาย แกจะไม่ต่อเลย แถมบางทีให้มากกว่าราคาของ ๆ ที่ซื้อด้วย เป็นอย่างนี้หลายครั้ง วันหนึ่งลูกก็เลยถามแม่ว่าแม่ทำไมทำอย่างนี้ แม่ตอบว่า นี่แหละคือความเอื้อเฟื้อที่ห่อหุ้มด้วยศักดิ์ศรี หมายความว่าคือการให้ที่ช่วยให้ผู้รับนี้รู้สึกมีศักดิ์ศรี
คือแม่คนนี้คงอยากให้เปล่าๆ ไปเลย แต่รู้ว่าถ้าให้เปล่าๆ ไป มันเป็นการสงเคราะห์ก็จริง แต่มันจะทำให้คนรับนี้ไม่รู้สึกมีศักดิ์ศรี แต่ถ้าคนรับนี้เขาได้เงินเพราะเขาได้ลงทุน หรือได้เงินเพราะน้ำพักน้ำแรงของตัวเอง มันทำให้เขารู้สึกมีศักดิ์ศรี ไม่ใช่แบมือขอ
เมื่อเร็วๆ นี้ก็มีดาราวัยรุ่นไปเห็นคุณยายขอทานอยู่ตรงสะพานเดินข้ามแถวศูนย์การค้า (คงจะแถวมาบุญครอง) เธอเห็นก็สงสาร แต่แทนที่จะให้เงิน เธอเดินกลับไปที่ห้างแล้วก็ไปซื้อน้ำอัดลมมา 2 แพ็ค หนักแต่ก็มีคนช่วยแบกมาให้คุณยาย เธอให้ทำไม ให้เอาไปขาย แทนที่จะขอเงินเปล่าๆ หรือขอทาน ก็ให้ขายน้ำอัดลมนี่แหละ
เงินที่ยายได้จากการขาย มันจะทำให้คุณยายภูมิใจว่า มันเป็นเงินที่ได้มาด้วยน้ำพักน้ำแรง ไม่ใช่ขอเปล่าๆ เด็กสาวคนนั้นก็เฝ้าดู ไม่รู้ว่าวันนั้นเธอมีธุระอะไรหรือเปล่า แต่เธอก็เฝ้าดูด้วยความห่วงใย แล้วก็ดีใจที่ยายขายน้ำได้หมด เงินทั้งหมดนี้คุณยายก็เอาไปเลย
และแน่นอนว่าเป็นเงินที่คุณยายคงจะภูมิใจด้วยว่า ไม่ใช่เป็นเงินที่ได้จากการขอทาน แต่ว่าเป็นเงินที่ได้จากการขายของ ซึ่งต่อไปแกก็คงจะมีความคิดว่า ถ้าจะเอาเงินถึงแม้จะไม่มีเด็กหรือผู้หญิงคนนั้นมาให้ในวันต่อไป แต่ว่าเงินที่ได้จากการขายน้ำอัดลมนี้ ก็สามารถจะเป็นทุนไปซื้อของมาขายต่อในวันรุ่งขึ้นได้ มันก็ทำให้คุณยายรู้สึกภาคภูมิใจ
นี้เป็นการช่วย เป็นการช่วยที่มีเมตตา และก็ทำให้เขามีศักดิ์ศรีด้วย ไม่ได้ให้เปล่าๆ จึงเรียกว่าเป็นความเอื้อเฟื้อที่ห่อหุ้มด้วยศักดิ์ศรี คือ ได้ทั้งเงินและก็ได้ทั้งศักดิ์ศรี ซึ่งอันนี้เป็นวิธีการช่วยที่เรียกว่านอกจากมีเมตตาแล้ว ยังมีปัญญาด้วย
คือทำให้ผู้รับ ไม่ใช่แค่อิ่มท้องอย่างเดียว แต่อิ่มใจด้วย อิ่มใจเพราะเขาได้รู้สึกว่า เงินที่ได้นี้ หรือเงินที่หามาได้นี้มันเกิดจากน้ำพักน้ำแรง มันทำให้เขามีศักดิ์ศรี ถ้าเรารู้จักช่วยคนแบบนี้บ้าง ก็จะทำให้เกิดประโยชน์ทั้งกับผู้ให้และผู้รับ เป็นประโยชน์ที่ลึกซึ้งในทางจิตใจ.