พระอาจารย์ไพศาล วิสาโล วัดป่าสุคะโต แสดงธรรมก่อนฉันเช้าวันที่ 18 กันยายน 2567
เมื่ออาทิตย์ที่แล้วคงทราบกันดีว่าเกิดน้ำท่วมฉับพลันที่แม่สาย ผู้คนส่วนใหญ่หนีไม่ทันเพราะว่าไม่มีการประกาศล่วงหน้าที่รวดเร็ว ผู้คนเดือดร้อนกันมาก หลายคนติดอยู่ในบ้าน ต้องขึ้นไปอยู่ชั้นสอง
ก็มีหลายคนเจตนาดี นึกเป็นห่วงคนที่เดือดร้อนจากภัยน้ำท่วม ก็ไปซื้อข้าวซื้อของมาทำอาหาร หุงข้าว แล้วเอาไปให้กับคนที่ประสบภัย ต้องทิ้งงานการที่ทำประจำเพราะว่าอยากจะช่วยบรรเทาความเดือดร้อนของคนที่ถูกน้ำท่วม
มีคนหนึ่งพอเอาอาหารไปแจก ปรากฏว่าผู้ประสบภัยคนหนึ่งบอกว่า เอามาให้ทำไม หวังอะไรหรือเปล่า ไม่ใช่คนแม่สายมาทำอย่างนี้เพื่ออะไร
แกถอดใจเลย ที่จริงแกเป็นคนแม่สายแต่ว่าไม่ได้อยู่ตรงจุดที่น้ำท่วม นึกเป็นห่วงเพื่อนร่วมอำเภอ พอเจอคำพูดแบบนี้เข้า เก็บข้าวของกลับบ้านเลย มีหลายคนที่ไม่ใช่คนแม่สาย อยู่ไกล แต่เขาก็อุตส่าห์ดั้นด้นมาเพื่อช่วยคนที่ประสบภัย ก็เจอแบบนี้เหมือนกัน เจอกันเยอะเลย และก็มีประเภทระแวงว่ามาช่วยทำไม ไม่ใช่หน่วยราชการ หวังอะไรหรือเปล่า
คนที่เขาเป็นแบบนี้ มองโลกในแง่ร้าย อาจจะเป็นเพราะโดนหลอก เจอมิจฉาชีพมาหลอกบ่อย แต่บางคนก็เป็นประเภทว่าคาดหวังมาก ได้ข้าวห่อมาก็ไม่พอใจว่าทำไมได้แค่นี้ ไม่มีถุงยังชีพเลยหรือ บางคนได้ถุงยังชีพก็บอกว่าทำไมมีแค่นี้เอง แบบนี้ก็มี แล้วก็เยอะด้วย ยังไม่นับประเภทเห็นแก่ตัวที่ว่าไม่ได้เดือดร้อนจริง แต่มารับข้าว มารับถุงยังชีพ แล้วเวียนเทียนมารับ เพื่อเอาไปขาย คนที่เขาเจตนาดีพอเจอแบบนี้เข้าก็ท้อ หลายคนก็เลิกไปเลย
เรื่องแบบนี้ เหตุการณ์แบบนี้คงจะเกิดขึ้นเยอะ เฉพาะที่แม่สายนี้พวกจิตอาสาเจอกันเยอะมาก จนกระทั่งตกลงกันว่าเลิกแล้ว นัดกันไม่ไปแล้ว เขาบอกว่าดราม่าเยอะเหลือเกิน ก็คงหมายความว่า เจอเรื่องที่ไม่ประเทืองอารมณ์ เจอคนที่ไม่น่ารักแบบนี้ หรือเจอปัญหาจากหน่วยราชการสารพัด
และคงจะมีจิตอาสาที่ไปช่วยผู้ประสบภัยที่อื่น ที่กำลังโดนน้ำท่วมในเวลานี้ ที่หนองคาย บึงกาฬ พะเยา จะเจอเหตุการณ์ทำนองนี้ เพราะมันเกิดขึ้นบ่อยครั้งมาก
ที่จริงก็อยากจะให้มองว่า คนที่ทำตัวน่าระอานี้ มันก็มีอยู่ แต่คนที่เดือดร้อนจริง และต้องการความช่วยเหลือจริงๆ ก็มีอยู่มาก ไม่ควรจะให้คนที่ทำตัวน่าระอานี้เป็นอุปสรรคขัดขวาง ทำให้เราเมินเฉยกับความเดือดร้อน คนที่เขาประสบภัยจริงๆ
ให้เรานึกว่าแม้จะมีคนที่ไม่น่ารักก็จริง แต่ว่าคนที่น่าช่วยเหลือมีเยอะ เยอะกว่าคนที่น่าระอามาก ถ้าเรานึกถึงคนแบบนี้เราก็อาจจะไม่ใส่ใจ หรือไม่เอามาเป็นอารมณ์
เวลาเจอคนที่น่าระอา ให้นึกถึงคนที่เขาเดือดร้อนจริงๆ แล้วคนเหล่านี้พอเราไปช่วยเขา แม้สิ่งที่เราให้นี้มันจะไม่มากเท่าไหร่แต่เขาจะซาบซึ้งใจมากเลย เขาขอบคุณแล้วขอบคุณอีก แล้วก็จะเกิดความศรัทธาในมนุษย์ว่าในยามที่เดือดร้อนก็ยังมีเพื่อนมนุษย์ที่ห่วงใย คนแบบนี้มีเยอะ อย่ามองข้าม อย่าให้คนที่ไม่น่ารักนี้มาบดบัง จนเรามองไม่เห็นคนที่เขาเดือดร้อนจริงๆ
หรือมิฉะนั้นถ้าให้ดีก็ควรทำใจล่วงหน้า ว่าเวลาจะไปทำความดีช่วยเหลือใครนี้จะต้องเจอคนแบบนี้ อย่าไปคาดหวังว่าทุกคนเขาจะขอบอกขอบใจ เขาจะซาบซึ้งในความปรารถนาดีของเรา มันมีคนที่ระแวงหรือว่าเรียกร้องจากเรามากมาย
ทำความดีทุกอย่างเลยไม่ใช่เฉพาะช่วยผู้ประสบภัย แม้ว่าเราจะทำความดีในรูปแบบอื่น ให้เพื่อนยืมเงิน ให้คนที่เดือดร้อนยืมเงินแล้วเขาไม่คืน หรือว่าเขาไม่ขอบคุณเรา ไม่สำนึกในบุญคุณของเรา แบบนี้ก็มีเป็นธรรมดา แต่เราจะไม่ทุกข์ถ้าเราไม่คาดหวัง ว่าเขาจะต้องทำดีกับเรา ว่าเขาจะต้องซาบซึ้งในบุญคุณของเรา
หรืออาจจะเผื่อใจไว้ว่าจะต้องมีคนที่เขามองเราในแง่ร้าย เพราะโลกทุกวันนี้มีคนแบบนี้เยอะ คนที่ถูกหลอกก็เป็นธรรมดาที่เขามองคนที่เจตนาดีว่า ประสงค์ร้ายหรือเปล่า อันนี้ก็ให้เราเข้าใจเขา และถ้าเราทำใจแบบนี้ ทำความดีอะไร มันก็จะไม่ทุกข์ ไม่เช่นนั้นถ้าวางใจไม่ถูกนี่จะทุกข์มากเลย
อย่างมีร้าน ๆ หนึ่งปิดป้ายว่า “ส.ว. คนแก่มากินฟรี” ร้านเขาอยากจะช่วยเหลือคนแก่ ปรากฏว่ามีคนแก่บางคนมาเวียนเทียนเลย มากินฟรียังไม่พอ เรียกร้องเอาอย่างอื่นด้วย เอาก๋วยเตี๋ยว เอาข้าวผัดใส่ถุงที่เอามาด้วย เอาติดมือกลับบ้าน ไม่ใช่มากินคนเดียวแต่ว่าเอาของฟรีอีกหลายถุงนี้กลับไปบ้าน ไม่รู้ว่าเอาไปขายหรือว่าเอาไปให้ญาติพี่น้อง เจ้าของร้านเจอแบบนี้เข้าก็ท้อ เขาปลดป้ายออกเลย ไม่อยากจะทำความดีแบบนี้อีกแล้ว เพราะเจอคนเห็นแก่ตัว
หรือบางคนเป็นจิตอาสาไปเยี่ยมผู้ป่วยที่โรงพยาบาล ไปเยี่ยมผู้ป่วยอนาถา ผู้ป่วยเห็นก็ถามว่าทำไมมามือเปล่า จิตอาสาก็ห่อเหี่ยวเลย อุตส่าห์ตั้งใจดีอยากจะมาช่วยให้กำลังใจผู้ป่วย
แต่ผู้ป่วยถามแบบนี้ ซึ่งมันก็มีเหตุผลหรือมันมีที่มาที่ไป เพราะว่าคนที่เป็นจิตอาสาคนก่อนๆ นี้ เวลามาเยี่ยมก็เอาของมาให้ เอานมกล่อง เอาผลไม้มาให้ เขาก็เลยคาดหวังว่า จิตอาสาทุกคนจะต้องมาโดยมีของติดมือมาด้วย
เพราะฉะนั้น พอจิตอาสาบางคน เขาตั้งใจมาเยี่ยมโดยที่ไม่มีของติดมือ ผู้ป่วยก็ผิดหวัง บางคนเก็บอาการไม่อยู่ก็เลยถามว่าทำไมมามือเปล่า เจอแบบนี้ก็อย่าไปเสียใจ ให้เข้าใจว่าทำไมเขาคิดแบบนี้ ทำไมเขาพูดแบบนี้ พอเราเข้าใจได้ หรือว่าเราไม่คาดหวังว่าทุกคนที่เราไปช่วย เขาจะดีกับเราหรือไม่ เราก็จะไม่ทุกข์มาก
และที่จริงถ้าจะให้ดีต้องนึกในใจว่า เวลาเราทำความดีช่วยเหลือใครนี้ เราไม่ได้มุ่งประโยชน์ของผู้รับเท่านั้น เราไม่ได้มุ่งช่วยเหลือเขาเท่านั้น เรามุ่งฝึกฝนตนด้วย เราทำเพื่อฝึกฝนตน ให้มีใจหนักแน่น ไม่คาดหวังว่าเขาจะสำนึกในบุญคุณของเรา หรือพร้อมจะเจอกับคำพูดที่ไม่ถูกใจเราเพราะเขาระแวง อันนี้เป็นการฝึกตน หรือฝึกให้มีสติ ฝึกปล่อยวาง
ปล่อยวาง คือทำดีโดยไม่คาดหวัง ทำดีโดยที่ไม่ได้หวังว่าเขาจะพูดดีกับเรา ทำดีกับเรา ถ้าหากเขาทำดีกับเราก็ถือว่าเป็นกำไรไป ถ้าเขาไม่ทำดีกับเรา ไม่พูดดีกับเรา ก็เป็นธรรมดา
หรือถึงแม้พูดไม่ดีกับเราก็เป็นกำไรได้ถ้าหากว่าเอามาฝึกใจเรา ว่าเราจะทำความดีโดยที่ไม่ยึดติดถือมั่นกับการกระทำของเขา เพราะว่าเราต้องเจออะไรแบบนี้อีกเยอะที่มันหนักกว่านี้อีกมาก
ถ้าเราฝึกจากการทำความดี เราก็จะมีภูมิคุ้มกันในจิตใจ มีธรรมะรักษาใจ ถึงเวลาเจออะไรที่ร้าย ๆ ใจเราก็ไม่หวั่นไหวเพราะว่าเราฝึกที่จะมีความหนักแน่นในยามที่ช่วยผู้อื่น
อันนี้คือสิ่งที่ต้องระลึกนึกถึงเสมอ เพราะว่าช่วงนี้คนประสบภัยเยอะ จิตอาสาก็มีมาก ถ้าวางใจไม่ถูกจะท้อจะทุกข์ แล้วคนที่เดือดร้อนจริงๆ ก็จะถูกทอดทิ้ง
แต่ถ้าเราจิตใจหนักแน่นมั่นคง นอกจากเราจะได้ประโยชน์แล้ว คนที่เขาเดือดร้อนจริงๆ เขาก็จะพลอยได้รับประโยชน์จากความเอื้อเฟื้อของเราด้วย.