PAGODA

  • Create an account
  • Forgot your username?
  • Forgot your password?
or

Connection

Your e-mail is required to ensure the proper functioning of the Website and its services and we make a commitment not to reveal it to third parties

  • หน้าแรก
  • ฐานข้อมูล
  • เสียง
  • วีดิทัศน์
  • E-Books
  • กิจกรรม
  • บทความ
PAGODA
  • หน้าแรก
  • ฐานข้อมูล
  • เสียง
  • วีดิทัศน์
  • E-Books
  • กิจกรรม
  • บทความ

เข้าสู่ระบบ / สมัครสมาชิก

เข้าสู่ระบบ

  • สมัครสมาชิก
  • ลืมชื่อผู้ใช้?
  • ลืมรหัสผ่าน?

Search

  • หน้าแรก
  • เสียง
  • พระอาจารย์ไพศาล วิสาโล
  • หายห่อเหี่ยวเพราะพบคุณค่าในตน
หายห่อเหี่ยวเพราะพบคุณค่าในตน รูปภาพ 1
  • Title
    หายห่อเหี่ยวเพราะพบคุณค่าในตน
  • เสียง
  • 13281 หายห่อเหี่ยวเพราะพบคุณค่าในตน /aj-visalo/144.html
    Click to subscribe
    • Share
    • Tweet
    • Email
    • Share
    • Share

ผู้ให้ธรรม
พระอาจารย์ไพศาล วิสาโล
วันที่นำเข้าข้อมูล
วันจันทร์, 16 ธันวาคม 2567
ชุด
ธรรมะสั้นๆ ก่อนอาหารเช้า 2567
  • แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [ลองพูดคุยกับ AI ทาง Line]

  • พระอาจารย์ไพศาล วิสาโล วัดป่าสุคะโต แสดงธรรมก่อนฉันเช้าวันที่ 14 กันยายน 2567
    มีประเทศหนึ่งที่คนไทยชอบไป ไปแล้วก็ติดใจ ไปแล้วไปอีก หลายคนที่ไม่เคยไปก็อยากไป เดี๋ยวนี้ยิ่งรู้ว่าไปง่ายก็ยิ่งตั้งความหวังว่าจะได้ไปสักครั้งหนึ่งในชีวิต นั่นคือประเทศญี่ปุ่น
    หลายคนไปญี่ปุ่นแล้วรู้สึกประทับใจ อาหารก็อร่อย ศิลปะก็งดงาม อะไรๆก็เป็นศิลปะไปหมดแม้กระทั่งกระดาษห่อของ ธรรมชาติก็สวย ไม่ว่าจะเป็นภูเขา ป่าไม้ ลำธาร ไปเที่ยววัด วัดก็งดงาม สงบ นอกจากนั้นบ้านเมืองก็สะอาดเป็นระเบียบ ไปที่ไหนห้องน้ำก็หาได้ง่ายเหลือเกินแล้วก็ไม่เสียเงินด้วย อากาศก็ดีและความปลอดภัยก็สูง
    อะไรๆก็ดูเป็นระเบียบตรงเวลา รถไฟฟ้าหรือแม้กระทั่งรถเมล์ก็ตรงเวลา แถมอยู่ที่นั่นคนก็จะมีแนวโน้มอายุยืน คงเพราะว่าอากาศดี อาชญากรรมน้อย อุบัติเหตุก็น้อย ใครที่อยากอายุยืนก็ต้องไปญี่ปุ่นแล้วเพราะว่าคนที่อายุยืนเป็น 100 มีเยอะเหลือเกิน มากที่สุดในโลก
    แต่ว่าถ้าไปถามคนญี่ปุ่น แม้อยากจะมีอายุยืน ก็คงไม่อยากอายุยืนที่ประเทศญี่ปุ่น ยิ่งกว่านั้นบางคนก็บอกว่าไม่อยากมีอายุยืนแล้ว 40, 50 ก็พอแล้ว อย่าให้อยู่ถึง 80, 90 หรือ 100 เลย เพราะอะไร
    เพราะว่าเดี๋ยวนี้คนญี่ปุ่นจำนวนมากโดยเฉพาะคนแก่ ตายแบบโดดเดี่ยวเรียกว่าตายเหงา 6 เดือนแรกของปีนี้มีคนตายอย่างโดดเดี่ยวในบ้านของตัวเอง 33,000 คน ในจำนวนนี้ 70% หรือ 75% เป็นคนสูงวัย อายุ 65 ปีขึ้นไป และในจำนวนนี้ 3,300 คน ตายโดยที่มีคนมาพบศพ 1 เดือนหลังจากเสียชีวิต แปลว่าอะไร
    แปลว่าไม่ได้มีการติดต่อคบค้าสมาคมกับใครเลย ตายแล้วก็ยังไม่มีใครรู้ เผลอๆลูกก็ยังไม่รู้ เพราะว่าไม่ได้ติดต่อคบหากันเท่าไหร่
    นอกจากนั้นยังมีประเภทว่า ถึงแม้ว่าจะยังไม่ตายแต่ก็มีความทุกข์ มีความเครียด และก็มีคนประเภทหนึ่งซึ่งมีเยอะมาก ชอบเก็บตัวอยู่ในบ้านไม่ออกไปไหน
    สถานที่ๆคนไทยชอบไปนั้นมีคนญี่ปุ่นจำนวนไม่น้อยที่ไม่ได้ชื่นชมด้วย เก็บตัวอยู่ในบ้าน ไม่ไปเที่ยว ไม่คบค้าสมาคมกับใคร และสงสัยว่าอยู่กับโทรศัพท์มือถือหรือไม่ก็เล่นเกมออนไลน์ไปเรื่อยๆ
    ในญี่ปุ่นนั้นมีคนแบบนี้ 1.5 ล้านคนหรือ 1,500,000 คน กว่าครึ่งเป็นคนที่มีอายุแล้ว มีอายุในที่นี้หมายถึง 40 ถึง 60 และพวกนี้ก็มีพ่อมีแม่ ลองนึกดูว่าพ่อแม่อายุ 90,80 ต้องมาคอยดูแลลูกอายุ 40, 50 ที่จะเรียกว่าเป็นโรคจิตก็ได้หรือมีความเจ็บป่วยทางจิต เก็บตัวอยู่แต่ในบ้านไม่ออกไปไหน
    พ่อแม่ซึ่งแก่ชราแล้วก็ต้องหาอาหารให้ลูกกิน คอยเป็นห่วงเป็นใย ตัวเองก็ไม่ไหวอยู่แล้วต้องมาดูแลลูก
    เพราะฉะนั้นการเป็นคนแก่ในสังคมที่เจริญอย่างญี่ปุ่นนั้นไม่ใช่เป็นเรื่องที่น่ายินดีเท่าไหร่ และเพราะอยู่ในสภาพเช่นนี้หลายคนจึงรู้สึกเหงา ว้าเหว่ โดดเดี่ยว
    อายุยืนก็จริง ความอายุยืนถือเป็นยอดปรารถนาของทุกคนแม้กระทั่งพร 4 ประการของชาวพุทธเราก็ยังเริ่มต้นด้วยคำว่า “อายุ” “อายุ วรรณะ สุขะ พละ” อยากอายุยืน แต่พออายุยืนจริงๆแม้กระทั่งในสังคมที่ทุกอย่างก็ดูราบเรียบราบรื่นกลับไม่มีความสุขเอาเสียเลยเพราะรู้สึกเหงา ว้าเหว่
    ทำไมถึงเหงาว้าเหว่ ก็เพราะอยู่คนเดียว ลูกก็ไปทำงานที่อื่น อยู่ในเมือง บางคนก็มีลูกแต่ลูกไม่สนใจ ลูกไม่เอาใจใส่เท่าไหร่
    เพราะฉะนั้นก็เป็นธรรมดาที่จะรู้สึกว่าตัวเองไม่มีคุณค่า ยิ่งอายุมากๆทำอะไรไม่ค่อยได้ก็ยิ่งรู้สึกว่าตัวเองไร้คุณค่า ไม่มีคุณค่าแม้กระทั่งกับลูก เพราะลูกก็ไม่สนใจ จะทำอะไรให้เป็นประโยชน์ต่อลูกต่อหลานก็ไม่ค่อยได้ทำ เพราะลูกไม่มีหลานให้ย่า ให้ยาย ให้ปู่ ให้ตาดูแล
    ไม่เหมือนชนบทบ้านเรา คนแก่ก็ยังรู้สึกว่าตัวเองมีคุณค่าได้ดูแลหลานเพราะว่าลูกเอามาทิ้งเอาไว้ หรือบางทีก็ได้ไปวัดไปวา ได้สานกระบุงตะกร้าทอแห
    แต่เดี๋ยวนี้ก็น้อยลงแล้วเพราะเลิกทำกันแล้ว แม้กระทั่งทอเสื่อเดี๋ยวนี้ก็ไม่ค่อยเห็นแล้ว เอาแต่ดูทีวี ดูโทรศัพท์มือถือ ก็ยิ่งรู้สึกว่าตนเองไม่มีคุณค่าเข้าไปใหญ่ แล้วพอรู้สึกว่าไม่มีคุณค่า ความอยากจะมีชีวิตอยู่ก็หายไปเรื่อยๆจนอยากตาย
    มีคุณยายคนหนึ่ง ที่เมืองไทย อายุ 70 แกมีปัญหาที่ขา มีแผล อาการก็ไม่หนักแต่ว่าแกไม่ค่อยร่วมมือกับหมอในการรักษาเท่าใด หมอแนะนำอะไรไปแกก็ไม่ทำตาม พอหมอถามว่าทำไมไม่ทำตามที่หมอแนะนำ ยาก็ไม่กิน คุณยายแกก็บอกว่าตายหรือหายก็เหมือนกัน
    ความหมายคือว่าไม่รู้จะอยู่ไปทำไม หรืออาจจะคิดในใจว่าตายเสียได้ก็ดี เรื่องนี้สะท้อนอะไร สะท้อนว่าคุณยายแกรู้สึกว่าตัวเองไม่มีคุณค่า คนเรานั้นพอไม่เห็น คุณค่าของตัวเองก็จะอยากตายทั้งนั้น ไม่รู้จะอยู่ไปทำไม
    และการที่ไม่เห็นคุณค่าในส่วนหนึ่งก็เพราะว่าอยู่คนเดียวไม่มีลูกไม่มีหลาน หรือถึงมีลูกๆก็ไม่สนใจ ต่างคนต่างอยู่หรือว่าอยู่กันคนละที่
    หมอคนนี้แกก็ฉลาด แกก็รู้ว่าปัญหาของคุณยายคนนี้เป็นเพราะรู้สึกว่าตัวเองไม่มีคุณค่าจึงไม่อยากอยู่ พอไม่อยากอยู่ก็เลยไม่สนใจที่จะรักษาแผลที่ขาให้หาย ก็เลยถามคุณยายว่าคุณยายไปวัดบ้างไหม ไปสิ ที่บ้านมีวัดอยู่ใกล้ๆ แล้วคุณยายมีไม้กวาดไหม มีสิ
    หมอก็เลยแนะนำว่า เมื่อคุณยายขาดีแล้วให้เอาไม้กวาดไปที่วัดแล้วก็ไปกวาดลานวัดให้สะอาด เป็นการช่วยพระให้ท่านมีเวลาปฎิบัติธรรม มีเวลาทำกิจของสงฆ์ และญาติโยมที่ไปวัดก็จะได้เห็นวัดที่สะอาดสะอ้านก็จะรู้สึกผ่องใสเบิกบาน คุณยายก็จะได้บุญไปด้วย
    พอพูดเช่นนี้แกก็ยิ้ม เออ ใช่ ปรากฏว่านับแต่นั้นมาแกก็เริ่มที่จะให้ความร่วมมือกับหมอในการรักษา ตอนนี้อยากหายแล้ว ทำไมถึงอยากหายเพราะว่าพบคุณค่าในตัวเอง แต่ก่อนอยู่ไปวันๆ แต่ตอนนี้เห็นว่าตัวเองมีคุณค่า อย่างน้อยก็สามารถทำประโยชน์จะให้กับวัดได้ เป็นการทำบุญ
    สุดท้ายแกก็หายแล้วแกก็ไปทำบุญอย่างที่ตั้งใจด้วยการกวาดลานวัด แล้วแกก็มีความสุขไม่หงอยเหงาเหมือนเมื่อก่อน
    อย่างนี้เรียกว่าคนเราถ้าหากว่าเห็นคุณค่าของตัวเอง ไม่มีใครหรอกที่อยากตาย อยากจะมีชีวิตอยู่ และจะอยู่แบบสดใสร่าเริง เพราะว่าได้ทำประโยชน์ให้กับผู้อื่นเป็นการเติมสุขให้ใจและเป็นการเติมคุณค่าให้เต็มเปี่ยมในจิตใจของตัวเอง เป็นวิธีการที่ช่วยทำให้คนโดยเฉพาะคนแก่อยากมีชีวิตต่อไปและมีชีวิตแบบที่เรียกว่าไม่ได้ประมาทกับชีวิตด้วย แต่เป็นชีวิตที่มีคุณค่า.

logo

  • เกี่ยวกับเรา
  • ติดต่อเรา
  • จดหมายข่าว
  • Privacy Policy
  • Terms of Service