พระอาจารย์ไพศาล วิสาโล วัดป่าสุคะโต แสดงธรรมก่อนฉันเช้าวันที่ 13 กันยายน 2567
วันนี้เป็นวันคล้ายวันมรณภาพของหลวงพ่อเทียน จิตฺตสุโภ ท่านได้ละสังขารไปเมื่อปี 2531 หรือ 36 ปีแล้ว หลายคนก็คงทราบว่าหลวงพ่อเทียนเป็นอาจารย์ของหลวงพ่อคำเขียน
หลวงพ่อคำเขียนบอกว่าท่านมีอาจารย์คนเดียวคือหลวงพ่อเทียน และหลังจากนั้นท่านก็ไม่แสวงหาอาจารย์คนอื่นอีกเลย เพราะว่าหลวงพ่อเทียนหรือคำสอนของท่านได้เปลี่ยนชีวิตพลิกจิตใจของหลวงพ่อคำเขียน จนกระทั่งเรียกว่าออกจากทุกข์ก็ว่าได้ จึงไม่แสวงหาอาจารย์จากที่ไหนอีกเลย จะว่าไปแล้วนั้นสิ่งที่หลวงพ่อเทียนทำก็มีเรื่องเดียว คือช่วยพาคนออกจากความหลง
ความหลงนั้นมีหลายระดับ ระดับพื้นฐานรากเหง้าที่เป็นประการแรกคือการไม่รู้ความจริงของกายและใจ ไม่รู้สัจธรรมซึ่งทำให้คนหลงวนอยู่ในความทุกข์
ความหลงประการที่ 2 คือหลง เพราะไม่รู้ตัว เนื่องจากหลงเข้าไปในความคิด หลงเข้าไปในอารมณ์
และหลงประการที่ 3 คือหลงงมงาย งมงายในพิธีรีตอง งมงายในสิ่งที่เรียกว่าไสยศาสตร์ งมงายในรูปแบบประเพณี
สิ่งที่หลวงพ่อเทียนทำนั้นไม่ได้เพียงแต่สอนหรือเทศนาเท่านั้น วิธีการสอนธรรมของท่านมีหลายแบบ ไม่ใช่แค่สอนด้วยการแสดงธรรม แต่ว่ายังสอนด้วยการ “ทำให้ดู อยู่ให้เห็น เย็นให้สัมผัสได้” และที่สำคัญซึ่งเป็นเอกลักษณ์ของท่านก็คือ “พูดให้คิด ทำเพื่อสะกิดใจ”
มีเรื่องเล่าว่าคราวหนึ่งท่านไปพำนักที่ประเทศลาว มีโยมนิมนต์ท่านให้ไปช่วยสวดมนต์ต่ออายุให้กับพ่อแม่ ท่านก็รับนิมนต์ แต่พอไปถึงวันงานแล้วท่านกลับไม่สวดเลย เงียบ มีแต่พระรูปอื่นที่สวด
พอสวดเสร็จจบพิธีกรรมเจ้าภาพก็ถวายปัจจัยให้กับพระที่มาสวดยกเว้นหลวงพ่อเทียน คงจะเห็นว่าท่านเงียบไม่พูดอะไรไม่สวดอะไร ก็เลยไม่มีศรัทธาที่จะถวายปัจจัยให้ หลวงพ่อเทียนท่านก็ไม่ได้ว่าอะไร
แต่ว่าพอเสร็จพิธีแล้วท่านก็บอกเจ้าภาพว่า การต่ออายุพ่อแม่ที่แท้จริงนั้นควรทำด้วยการทำดีกับท่าน ไม่ใช่มานิมนต์พระสวดมนต์ต่ออายุ ถ้าลูกทำดีกับพ่อแม่ พ่อแม่ก็จะอายุยืน จากนั้นก็ชวนเจ้าภาพกราบแม่ตามท่าน ท่านกราบนำและให้เจ้าภาพกราบตาม
ชาวบ้านมาเห็นก็ฮือฮากันใหญ่เพราะไม่เคยเห็นพระกราบโยม บางคนก็ตำหนิท่านว่าไปกราบโยมได้อย่างไร ท่านบอก “อาตมาไม่ได้กราบโยม อาตมากราบตัวเองที่สอนให้ลูกรู้จักวิธีต่ออายุพ่อแม่ที่แท้จริง”
นี่เป็นสไตล์หรือเอกลักษณ์ของหลวงพ่อเทียน ก็คือว่าท่านไม่เพียงแต่พูดให้คิด แต่ยังทำเพื่อสะกิดใจด้วย หลายคนเห็นแล้วคงจะตั้งคำถามขึ้นมา เออ การต่ออายุพ่อแม่ทำได้ด้วยการนิมนต์พระมาสวดเท่านั้นหรือ หรือว่ามันมีดีกว่านั้น
นั่นเป็นการทำประเภททวนกระแสความคิดความเข้าใจของผู้คน เพื่ออะไร เพื่อสะกิดใจให้เห็นถึงสาระหรือธรรมะที่แท้จริง ไม่ใช่ติดอยู่กับประเพณีพิธีกรรม เช่น การสวดมนต์
และนอกจากทำเพื่อสะกิดใจแล้ว บางครั้งท่านก็พูดให้คิดด้วย หลวงพ่อเทียนนั้นแต่ก่อนท่านเทศน์ไม่เก่ง ท่านไม่ค่อยเทศน์ยาวๆเท่าใด แต่ท่านจะใช้วิธีพูดเพื่อให้คิด พูดอย่างนั้นจะทำได้ไม่ใช่กับคนหมู่มากหรือคนหลายๆคน ก็ทำเฉพาะตัว และคนที่ได้รับการสอนแบบนี้จังๆ ก็คืออาจารย์โกวิท
เมื่อปี 2518 หรือเมื่อ 50 ปีที่แล้ว อาจารย์โกวิทท่านดังมาก เพราะว่าท่านเป็นพระนักเทศน์ที่ภาษาไพเราะงดงาม เสียงก็ดี ลูกศิษย์ลูกหาก็มาก เวลาท่านเทศน์แต่ละกัณฑ์นั้น สามารถนำไปพิมพ์หนังสือได้เลย เพราะว่าภาษาท่านไพเราะ เนื้อหาก็ลุ่มลึก
ปีนั้นท่านอาจารย์โกวิทจำพรรษาที่วัดชลประทานฯ ซึ่งเป็นช่วงเวลาเดียวกับที่หลวงพ่อเทียนกับลูกศิษย์ซึ่งคงจะรวมหลวงพ่อคำเขียนด้วยไปจำพรรษาที่นั่น หลวงพ่อปัญญานิมนต์ อาจารย์โกวิทก็จะมีหน้าที่แสดงธรรมให้พระนวกะและญาติโยม คนฟังก็เรียกว่าสาธุชื่นชมมาก
พอแสดงธรรมเสร็จ หลวงพ่อเทียนก็มาหาอาจารย์โกวิท และบอกว่าความรู้ของอาจารย์นั้นเอามาจากไหน อาจารย์โกวิทรู้สึกสะดุดใจมาก เพราะว่าท่านเป็นคนที่อ่านตำรามากโดยเฉพาะพระไตรปิฎก อาจารย์โกวิทท่านเล่าว่าคืนนั้นหลวงพ่อเทียนมาหาท่านที่กุฎิ ถามว่า "มีด้ายไหม" ท่านบอกว่า "มี"แล้วก็คลี่ด้ายให้
หลวงพ่อเทียนก็เลยบอกว่ามีกรรไกไหม “มี” พอยื่นกรรไกรให้ หลวงพ่อเทียนก็ตัดด้ายขาดเลย แล้วก็บอกว่าถ้าอาจารย์ยังปฏิบัติไม่ถึงจุดนี้ ก็เรียกว่ายังไม่รู้จักพระพุทธเจ้า อาจารย์โกวิทงงมาก หมายความว่าอย่างไร
หลังจากนั้นท่านก็ได้มีโอกาสสนทนากับหลวงพ่อเทียนอยู่บ่อยๆ แต่ละครั้งๆก็ทำให้ท่านฉุกคิดขึ้นมา เดิมอาจารย์โกวิทติดสมถะ หลับตานั่งสมาธิเพื่อความสงบ แต่สุดท้ายหลวงพ่อเทียนก็ทำให้อาจารย์โกวิทได้เห็นว่าความรู้สึกตัวสำคัญกว่า
ความสงบที่เกิดขึ้นจากการหลับตา ยังเป็นความมืดสีขาว มันต้องสว่าง แล้วตอนหลังอาจารย์โกวิทก็มาเป็นลูกศิษย์ของหลวงพ่อเทียน แต่พอบวชได้ 10 กว่าพรรษา ท่านก็ลาสิกขาบท เป็นที่ฮือฮามากเพราะอาจารย์โกวิทนั้นท่านดังมาก คนคิดว่าท่านจะสืบทอดสวนโมกข์ต่อจากอาจารย์พุทธทาสด้วยซ้ำ สึกแล้วหรือนี่ คนก็วิจารณ์ท่าน
แต่หลวงพ่อเทียนบอกลูกศิษย์ว่า บางคนนั้นเหมาะกับเป็นพระ บางคนเหมาะกับเป็นโยม จะเป็นพระหรือโยมก็ปฏิบัติธรรมได้ แต่ว่าญาติญาติโยมหลายคนก็ยังไม่ยอมรับที่อาจารย์โกวิทสึกหาลาเพศไป
มีอยู่วันหนึ่งที่วัดสนามในนิมนต์อาจารย์โกวิทมาแสดงธรรม ญาติโยมหลายคนไม่พอใจมากรู้สึกขัดเคือง หลวงพ่อเทียนท่านเห็นเพราะกุฎิท่านอยู่ไม่ไกลอยู่ข้างๆลานแสดงธรรม พอเจออาจารย์โกวิท ท่านก็เลยถามว่ามีเสื้อไหม อาจารย์โกวิทก็ไม่รู้จะเอาเสื้อมาจากไหน ก็เลยเอาเสื้อคลุมอาบน้ำ และให้หมวกกุยเล้ยกับท่านด้วย หลวงพ่อเทียนทำอย่างไร
ท่านเปลี่ยนจีวร ถอดจีวรออก แล้วเอาเสื้อคลุมอาบน้ำและหมวกกุยเล้ยมาสวม แล้วมานั่งอยู่กลางลานแสดงธรรม ญาติโยมผ่านไปผ่านมาก็ตกใจ อ้าว ทำไมหลวงพ่อเทียนทำอย่างนั้น
จริงๆหลวงพ่อเทียนต้องการสอนหรือเตือนสติว่า อย่าตัดสินคนที่รูปแบบ ที่เครื่องนุ่งห่ม แล้วท่านก็ชี้ให้เห็นว่า จะเป็นพระหรือโยมก็ปฏิบัติธรรมได้ คุณธรรมของพระหรือโยม คุณธรรมของคนนั้นไม่ได้อยู่ที่ว่าเป็นพระหรือโยม ไม่ได้อยู่ที่ว่าครองจีวรหรือว่าใส่เสื้อนุ่งกางเกง
พอคนเห็นหลวงพ่อเทียนแล้วเริ่มคิดตามแบบนี้ ก็เริ่มเข้าใจได้ว่า อย่าตัดสินคนด้วยเครื่องนุ่งห่ม เรื่องนี้ก็เป็นวิธีการสอนด้วยการทำเพื่อสะกิดใจและพูดให้คิดด้วย
บางทีวิธีสอนของท่านโดยที่ไม่พูดอะไรเลยก็มีมาก ลูกศิษย์บางคนติดสมถะมาก นั่งสมาธิหลับตาอยู่ในกุฎิ หลวงพ่อเทียนเดินมาเอาผ้าอาบน้ำคลุมหัวไว้ พอเดินมาถึงกุฎิก็ดึงผ้าออกจากศีรษะให้ลูกศิษย์เห็น ลูกศิษย์ก็งงว่าหลวงพ่อเทียนต้องการสอนอะไร นี่เรียกว่าทำให้สะกิดใจหรือทำเพื่อสะกิดใจ แล้วลูกศิษย์ก็เอาไปคิด
สุดท้ายก็รู้ว่า อ๋อ ท่านบอกว่าอย่าไปถูกครอบงำด้วยสิ่งใดก็ตาม ให้หลุดออกจากสิ่งที่ครอบงำ เพราะแม้แต่ความสงบถ้าไปติดมัน มันก็ครอบงำจิต ต้องทำใจให้สว่างเหมือนกับคนที่เคยถูกผ้าคลุมศีรษะไว้ พอดึงผ้าออกก็สว่างเห็นอะไรชัดเจน ข้างหน้าก็เห็น ข้างข้างก็เห็น นี่เรียกว่าเกิดความสว่างที่กลางใจเพราะว่าความรู้สึกตัว ไม่ใช่เพราะว่าติดอยู่กับความสงบหรือว่าความคิดหรืออารมณ์ใดก็ตามแม้จะเป็นบวก
เพราะฉะนั้นในโอกาสที่หลวงพ่อเทียนได้มรณภาพในวันที่ 13 กันยาก็เป็นโอกาสดีที่เราจะได้ระลึกถึงคำสอนของท่านและนำมาเป็นข้อคิดสะกิดใจ และถ้าจะยิ่งให้ดีก็คือนำมาปฏิบัติตามที่ท่านได้เคยสอนเอาไว้ นั่นคือทำความรู้สึกตัวให้หลุดจากความหลง
ทีแรกหลงจากความคิด หลงจากอารมณ์ ให้มารู้เนื้อรู้ตัวก่อน ต่อไปก็จะหลุดจากความหลงที่ครอบงำด้วยอวิชชา รู้สัจธรรมความจริง ก็ช่วยทำให้หลุดพ้นจากความทุกข์ได้.