พระอาจารย์ไพศาล วิสาโล วัดป่าสุคะโต แสดงธรรมก่อนฉันเช้าวันที่ 12 กันยายน 2567
สมัยนี้มีความสะดวกสบายกว่าแต่ก่อนมาก แต่ก็ไม่ได้หมายความว่ามีความสุขมากขึ้น ตรงข้ามด้วยซ้ำมีความสุขน้อยลง มีความทุกข์มากขึ้น
คนที่ป่วยเพราะโรคจิต โรคประสาท โรคเครียด โรควิตกกังวล โรคซึมเศร้าเนี่ยยิ่งมีเยอะมาก จิตแพทย์หรือหมอโรคจิตผลิตเท่าไหร่ก็ไม่พอ เพราะคนป่วยมีเยอะ แล้วเวลาไปหาหมอ ส่วนใหญ่หมอก็ให้ยา ซึ่งคนไข้หลายคนก็ปฏิเสธ หรือไม่ชอบ เพราะว่ากินแล้วมีผลข้างเคียง โรคเดิมก็ไม่หายแถมยังมีอาการอย่างใหม่เพิ่มเข้าไปอีก
ก็เลยมีการพยายามหาวิธีการในการเยียวยาจิตใจ ที่ประเทศอังกฤษในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมานี้ เขาหันมาเน้นวิธีการนี้มากขึ้น เขาเรียกว่าจ่ายยาด้วยการให้ไปทำกิจกรรมทางสังคม ภาษาอังกฤษเรียกว่า โซเชียลเพสไครบิง Social prescribing ให้ไปทำกิจกรรมทางสังคม เช่น ไปพบปะผู้คน ไปเล่นดนตรี ซ้อมลีลาศ วาดรูป หรือว่าถักโครเชต์ แล้วเขาพบว่าช่วยคนไข้ได้ดีกว่าให้ยา ถูกกว่าด้วยซ้ำ
ตอนหลังก็เลยมีการให้ยาแบบใหม่ที่สอดคล้องกันก็คือ ภาษาอังกฤษเรียกว่า กรีนโซเชียลเพสไครบิง Green Social prescribing กรีนคือสีเขียว พูดง่ายๆ คือว่าจ่ายยาด้วยการให้ไปอยู่ใกล้ชิดธรรมชาติ ใกล้ชิดธรรมชาตินี้ก็หมายถึงสวนหรือป่า ให้ไปทำอะไร
ให้ไปเดินเล่นเดินชมนกชมไม้ หรือมิฉะนั้นก็ทำสวน หรือว่าปลูกต้นไม้ หรือว่าว่ายน้ำในลำธารลำห้วย ไม่ใช่ในสระว่ายน้ำนะ แต่ว่าในลำธารลำห้วยที่มันเป็นส่วนหนึ่งของธรรมชาติ หรืออาจจะวาดรูป หรือทำสมาธิแบบง่ายๆ ด้วยการเอาใจไปจดจ่ออยู่กับเสียงธรรมชาติ เสียงนก เสียงลม หรือว่ากลิ่นที่ได้ยิน ที่โชยมา อันนี้เขาก็แนะนำทำกันมาหลายปีแล้ว
ก็มีคนพูดว่ามันได้ผลดี แต่ว่ายังไม่ได้มีข้อมูลยืนยันอย่างชัดเจน เพราะฝรั่งจะว่าอะไรดีหรือไม่ก็ต้องมีหลักฐาน มีสถิติ มีข้อมูลมายืนยัน
เขาก็เลยทำการศึกษากับคน 8000 คน ก็ป่วยทั้งนั้นที่มาหาจิตแพทย์ แต่จิตแพทย์ไม่ได้ให้ยา ให้ไปอยู่ใกล้ชิดธรรมชาติ เขาจะระบุเป็นชั่วโมง ไม่ใช่ให้ไปทำเฉยๆ นับเป็นชั่วโมงด้วย 20 ชั่วโมง 40 ชั่วโมง 100 ชั่วโมง
แล้วเขาก็หาทุนสนับสนุนให้ได้ไปใกล้ชิดกับธรรมชาติได้ง่ายขึ้น 8000 คน เขาใช้เวลา 2-3 ปีติดตามผล แล้วเขาพบว่า มีการเปลี่ยนแปลงที่ดีขึ้นในด้านจิตใจ
แล้วเขามีคำถามว่า ความสุขเป็นยังไงก่อนและหลังการได้สัมผัสกับธรรมชาติ ก็พบว่าโดยเฉลี่ยก่อนที่จะไปสัมผัสกับธรรมชาติ ความสุขประมาณ 5.3 คะแนนเต็ม 10 แต่พอได้ไปสัมผัสกับธรรมชาติในเวลาที่กำหนด ความสุขเพิ่มขึ้นเป็น 7.5
เขาถามต่อไปว่า รู้สึกว่าชีวิตมีคุณค่ามากน้อยเพียงใดก่อนไปรับยาจากหมอ โดยเฉลี่ยมีความรู้สึกว่ามีคุณค่าเพียงแค่ 4.7 แต่พอได้ไปมีกิจกรรมท่ามกลางธรรมชาติแล้ว มันเพิ่มขึ้น รู้สึกว่าตัวเองมีคุณค่าเพิ่มขึ้นเป็น 6.8
เขาถามต่อไปว่าความวิตกกังวลเพิ่มขึ้นหรือน้อยลง หรือเฉยๆ เท่าเดิม โดยเฉลี่ยก่อนจะไปสัมผัสกับธรรมชาติ ความวิตกกังวลอยู่ในระดับ 4.8 แต่ว่าพอได้สัมผัสกับธรรมชาติ ความวิตกกังวลมันลดลงเหลือ 3.4
พูดง่ายๆ ก็คือว่า ทุกตัวมันดีขึ้น ก็คือว่าความสุขเพิ่มขึ้น รู้สึกว่ามีคุณค่าเพิ่มขึ้น ส่วนความเครียดลดลง ความวิตกกังวลลดลง แล้วก็พบว่าค่าใช้จ่ายต่อหัวน้อยเมื่อเทียบกับการให้ยา
ค่าใช้จ่ายมันไม่มากเลย ขณะที่การให้ยามันสูงมาก แล้วก็ต้องอาศัยปัจจัยหลายอย่าง เช่น มีหมอที่จะมาดูแลให้ยาคนไข้ เพราะทุกครั้งคนไข้จะได้ยาก็ต่อเมื่อหมอสั่ง
กว่าจะครบคอร์สซึ่งประมาณ 10 ครั้ง ก็ต้องพบหมอ 10 ครั้งต้องใช้จ่ายเงินไปไม่ใช่น้อย แล้วก็ไม่ได้มีความสุขเพิ่มขึ้นเลย
เพราะฉะนั้นเขาก็เลยแนะนำว่า การไปเยียวยาจิตใจด้วยการสัมผัสใกล้ชิดกับธรรมชาติ เป็นยาวิเศษ แล้วก็ไม่ต้องรอให้เจ็บป่วยจนต้องไปหาหมอ ไม่ต้องรอให้เป็นซึมเศร้า หรือว่าวิตกกังวลอย่างหนัก นอนไม่หลับ ตื่นตระหนกตกใจอะไรทำนองนี้
แค่รู้สึกว่าจิตใจห่อเหี่ยว ไม่มีชีวิตชีวา ก็ควรจะพาตัวเองไปสัมผัสกับธรรมชาติ ไม่ต้องไปรอให้หมอสั่ง แล้วมันไม่ได้ดีต่อสุขภาพจิตเท่านั้น สุขภาพกายก็ดีขึ้นด้วย
เพราะมีงานวิจัยหลายชิ้นบอกว่า คนที่ได้ไปอยู่ใกล้ชิดกับธรรมชาติ หรือถ้าได้ปักหลักอยู่ใกล้พื้นที่สีเขียวเลยนี่ โรคภัยไข้เจ็บจะน้อยลง โรคที่คนสมัยใหม่เป็นกันเยอะ เช่น โรคหัวใจ ไมเกรน เบาหวาน ซึมเศร้า โลกหืด ใครที่อยู่ในรัศมี 1 กิโลเมตรรอบพื้นที่สีเขียวจะมีโรคพวกนี้น้อยลง
เดี๋ยวนี้เขาพบว่า โรคที่เกิดจากมลภาวะ เช่น pm 2.5 โรคที่ว่านี้ก็ถือว่าเป็นโรคที่ร้ายแรง เช่น มะเร็งปอด แม้จะไม่สูบบุหรี่ก็เป็นมะเร็งปอด เพราะว่าปอดรับ pm 2.5 เข้าไป
แต่ถ้าอยู่ในพื้นที่สีเขียวหรือว่าอยู่ใกล้ๆ พื้นที่สีเขียว ต้นไม้ช่วยกรอง
ฝุ่น เพราะฉะนั้นโอกาสที่จะเป็นมะเร็งปอดทั้งๆที่ไม่ได้สูบบุหรี่ก็จะน้อยลง
เพราะฉะนั้นใครที่รู้สึกเจ็บป่วยน่าจะหาเวลาไปสัมผัสกับธรรมชาติ ความเจ็บป่วยหลายอย่าง หมอก็ว่ามันมีพื้นฐานมาจากโรคหนึ่ง หรือที่เขาเรียกว่าโรคขาดธรรมชาติ
โรคขาดธรรมชาติเป็นกันเยอะ แล้วคนก็ไม่รู้ตัวว่าเป็น ยิ่งเจอมลภาวะ เจอแรงต่างๆ เข้าไปอีกยิ่งป่วยหนักเลย แต่ว่าถ้าได้ใกล้ชิดกับธรรมชาติ อย่างน้อยโรคขาดธรรมชาติก็จะน้อยลง ส่วนโรคอื่นก็คงจะบรรเทาเบาบางลงด้วย
เพราะฉะนั้นต้องช่วยกันอนุรักษ์ธรรมชาติ อนุรักษ์พื้นที่สีเขียว แล้วก็เพิ่มพื้นที่สีเขียวให้มากขึ้น แล้วก็หาเวลาพาตัวเองไปอยู่ท่ามกลางพื้นที่สีเขียวเหล่านี้ด้วย