พระอาจารย์ไพศาล วิสาโล วัดป่าสุคะโต แสดงธรรมก่อนฉันเช้าวันที่ 11 กันยายน 2567
ระยะนี้เกิดอุทกภัยขึ้นหลายแห่ง ล่าสุดก็เกิดขึ้นแรงมากคือที่เชียงราย แม่สาย ท่วมกลางเมืองแล้วก็สูงด้วย คล้ายๆ กับที่เกิดกับชัยภูมิเมื่อ 3 ปีที่แล้ว
เวลาเราดูข่าวหรืออ่านข่าวแบบนี้ อย่าได้สนใจแต่เพียงว่ามันเกิดขึ้นที่ไหน หรือว่ามีใครเดือดร้อน มีคนที่ได้รับผลกระทบมากมายเพียงใด คืออย่าดูข่าวเพียงแค่สนองความอยากรู้อยากเห็นเพราะมันน่าตื่นเต้น
แต่ให้ดูข่าวอ่านข่าวเพื่อที่จะได้มาให้แง่คิดหรือเตือนตัวเอง เช่น ให้คิดว่าเหตุการณ์ทำนองนี้ ภัยธรรมชาติไม่ใช่จำเป็นต้องเป็นน้ำท่วมอย่างเดียว อาจจะเป็นภัยอย่างอื่นก็ได้ อาจจะเกิดขึ้นกับเราไม่วันใดก็วันหนึ่งก็ได้ ไม่ได้เกิดขึ้นกับเราคนเดียว เกิดขึ้นกับชุมชนของเรา เพราะอะไรๆ ก็เกิดขึ้นได้ โดยเฉพาะน้ำท่วม ฝนแล้ง เพราะตอนนี้โลกกำลังแปรปรวน ดินฟ้าอากาศก็ผันผวนมาก ให้เตือนตัวเองว่ามันอาจจะเกิดขึ้นกับเรา ไม่วันใดก็วันหนึ่ง
ทีนี้พอมันเกิดขึ้นแล้ว เราจะหาทางป้องกันอย่างไร คำว่าเราคงไม่ใช่หมายถึงเฉพาะเราคนเดียว แต่ควรจะหมายถึงหน่วยงานรัฐด้วย ก็ต้องคอยมองหรือว่าจับตาดูว่า หน่วยงานรัฐเขามีมาตรการป้องกันภัยพิบัติภัยธรรมชาติอย่างไรบ้าง ไม่ว่าจะเป็น อบต. อบจ. เทศบาล จังหวัด หรือว่าอำเภอ ก็เป็นหน้าที่ของเขาอยู่แล้ว หน้าที่จะต้องมีแผนเผชิญเหตุ
และเรื่องภัยธรรมชาติโดยเฉพาะน้ำท่วมนี่ มันไม่ได้เกิดขึ้นปุบปับ มันมีเค้ามาก่อนหลายวันแล้ว อย่างน้อยก็ควรจะมีแผนอพยพผู้คน หรือว่าแผนในการเยียวยาผู้ที่ประสบภัย ไม่ใช่ว่าพอเกิดปัญหาขึ้นแล้วค่อยตื่นตัวกัน ในฐานะที่เราเป็นผู้จ่ายภาษีก็ต้องสอดส่องดู เราต้องเรียกร้องด้วย ให้หน่วยงานรัฐเขามีแผนเพื่อรับมือกับภัยธรรมชาติเหล่านี้
แต่ว่าจะพึ่งแต่หน่วยงานรัฐอย่างเดียวก็คงไม่พอ เพราะถึงแม้ว่าเขาจะป้องกันอย่างไร บางครั้งภัยธรรมชาติมันก็รุนแรงเกินกว่าที่จะรับมือได้ เช่น ป้องกันไม่ให้น้ำท่วมแต่ก็ป้องกันไม่ได้ เพราะฝนฟ้าพายุมันรุนแรงมาก ก็เป็นสิ่งที่เราต้องดูแลตัวเอง แล้วเราจะรับมือกับมันอย่างไร ต้องคิดเอาไว้
และถ้าเรารับมือไม่ได้ เราจะอยู่กับภัยธรรมชาติอย่างไร จะเอาตัวรอดอย่างไรในเมื่อน้ำมันท่วม ท่วมบ้านท่วมเมืองติดต่อกันหลายวัน
และนอกจากการเตรียมตัวเพื่อหาทางอยู่รอดแล้ว ก็ต้องถามตัวเองว่า เราพร้อมจะทำใจได้มากแค่ไหนเมื่อทรัพย์สมบัติสูญหายไปกับน้ำ ของพรรค์นี้เกิดขึ้นได้เสมอ แล้วถ้าไม่เตรียมตัวเตรียมใจไว้ พอมันเกิดขึ้นเราก็จะทุกข์มากเลย บางคนเสียทรัพย์ไม่พอ ยังเสียใจจนกระทั่งกลายเป็นคนวิกลจริตไป หรือว่าฆ่าตัวตายก็มี
แต่ถ้าเกิดว่าเตรียมตัวเตรียมใจไว้ ประการแรกคือ ความเสียหายก็จะน้อยกว่าการที่ไม่ได้เตรียม ประการที่สองคือ อย่างน้อยก็รักษาใจไม่ให้ทุกข์ เพราะว่าการสูญเสียคนรักของรัก มันเป็นสิ่งที่ไม่มีใครหนีพ้น อย่างที่เราสวดกันอยู่บ่อยๆ พิจารณาอยู่บ่อยๆ ว่า เราจะต้องพลัดพรากจากของรักของชอบใจทั้งนั้น ไม่ช้าก็เร็ว แล้วก็ไม่ใช่ครั้งเดียวอาจจะหลายครั้ง
อันนี้คือเราต้องเตรียมตัวไว้ โดยเฉพาะในยุคปัจจุบันที่มันมีวิกฤตทางด้านสิ่งแวดล้อม ภัยธรรมชาติจะมาในรูปแบบใดก็ไม่รู้ ไม่ใช่แค่น้ำท่วม ฝนแล้ง บางทีก็อาจจะแผ่นดินไหว สึนามิ เราจะอยู่โดยไม่เตรียมไม่ได้ ข่าวสารที่เกิดขึ้นมันเป็นเครื่องเตือนใจเราว่า อะไรๆ ก็เกิดขึ้นกับเราได้ หรือเกิดขึ้นกับคนที่เรารักก็ได้
ดังนั้น อะไรที่เราป้องกันได้ก็ป้องกัน ไม่ใช่ทำคนเดียว ต้องทำร่วมกับชุมชน หรือต้องผลักดันให้หน่วยงานรัฐ หน่วยงานที่รับผิดชอบขวนขวายเรื่องนี้ด้วย แต่ทำแล้วก็ยังไม่พอ ต้องเตรียมใจเราเอาไว้ด้วย เผื่อว่าปัญหามันยังป้องกันไม่ได้ ก็ต้องเอาตัวรอดในความหมายที่ว่า เอาใจรอดไว้ก่อน
นี่คือบทเรียนที่เราควรจะได้รับจากการที่มีข่าวคราวทำนองนี้เกิดขึ้น แต่เท่านั้นยังไม่พอ การที่วันนี้เรายังไม่ถูกน้ำท่วม ยังไม่เจอภัยธรรมชาติ ในแง่หนึ่งก็ถือว่า เราโชคดี ใครที่ชอบตีโพยตีพายว่า ฉันเป็นคนโชคร้ายอาภัพอับโชค ให้ลองนึกว่า เออ อย่างน้อยเราก็โชคดีที่เราไม่เจอภัยน้ำท่วม อุทกภัยอย่างที่เกิดขึ้นกับเพื่อนเราที่แม่สาย เชียงราย
อย่างน้อยเราก็สามารถจะบอกได้ว่า เราไม่ได้โชคร้ายไปเสียหมด ขณะเดียวกันก็ขอให้นึกถึงคนที่เขากำลังเดือดร้อนจากอุทกภัย เราโชคดีแต่เขาโชคร้าย ก็ไม่ควรจะมองแค่นั้น อะไรที่เราช่วยเขาได้ก็ควรช่วย เพราะว่ามนุษย์เราไม่มีอะไรเป็นที่พึ่งได้เท่ากับการช่วยเหลือเอื้อเฟื้อกัน
วันนี้เราไม่เดือดร้อน เรายังมีกำลังที่จะช่วยเขาก็ควรช่วย เพราะว่าวันหน้าอาจถึงคราวของเราก็ได้ ถ้าเราช่วยคนที่เขาเดือดร้อน ถึงวันที่เราเดือดร้อนก็มีหวังว่าเราจะได้รับการช่วยเหลือ เพราะการช่วยเหลือของเรามันเป็นการสร้างวัฒนธรรมแห่งการเอื้อเฟื้อเกื้อกูลกัน
เป็นการสร้างแบบอย่างให้กับผู้คนทั้งหลายว่า เวลาเพื่อนมนุษย์เดือดร้อนเราต้องช่วยกัน โดยที่เราเนี่ยเป็นส่วนหนึ่งในการสร้างค่านิยม หรือว่าคุณธรรมแบบนี้เอาไว้ ให้มันยั่งยืนในสังคม ถึงตอนนั้น เวลาที่เราเดือดร้อน สิ่งที่เราทำเพื่อช่วยให้คนอื่นเขาพ้นจากทุกข์ภัยมันก็จะย้อนกลับมาสู่เราได้ง่ายขึ้น
เพราะฉะนั้นจะว่าไปแล้ว ในการช่วยคนที่เขาเดือดร้อน ไม่ว่าในวันนี้หรือวันหน้า จริงๆ แล้วมันเป็นการช่วยเหลือสังคม และสุดท้ายก็ย้อนกลับมาช่วยเราด้วย