พระอาจารย์ไพศาล วิสาโล วัดป่าสุคะโต แสดงธรรมก่อนฉันเช้า วันที่ 15 กุมภาพันธ์ 2567
กิจกรรมยามว่างที่คนสมัยนี้นิยม นอกจากการดูหนัง ฟังเพลง แล้วก็ไถโทรศัพท์แล้ว อีกอย่างหนึ่ง ถ้ามีเวลาว่างหลายๆวัน ก็คือท่องเที่ยว ท่องเที่ยวไม่ได้หมายถึงเที่ยวห้าง แต่หมายถึงว่าเที่ยวต่างจังหวัด หรือว่าที่นิยมมากขึ้นเรื่อยๆ ก็คือการท่องธรรมชาติ เช่น เดินป่า หรือว่าไต่เขา โดยเฉพาะไต่เขาหรือปีนเขา ถ้าเป็นพวกฮาร์ดคอร์(hardcore)มากๆ ก็จะเลือกปีนเขาที่สูงๆ
ถ้าสูงชนิดที่ว่ามีหิมะปกคลุมยิ่งดีเลย
บางประเทศอย่างเนปาล มีคนนิยมเดินทาง แล้วก็ไปปีนเขาที่นั่นเพราะว่าเขาสูงเยอะ และมีที่สูงมากๆ หลายกิโลเมตรจากระดับน้ำทะเล ที่สูงที่สุดก็อยู่ที่เนปาล คือเทือกเขาเอเวอเรสต์ (Everest) เป็นยอดเขาที่สายฮาร์ดคอร์หรือสายแข็งหมายตามาก ตั้งใจว่าจะพิชิตให้ได้ อย่างน้อยครั้งหนึ่งในชีวิต
ในช่วง 30-40 ปีมานี้ มีคนพากันไปปีนเขาเพื่อพิชิตเอเวอเรสต์ เยอะมากทั้งๆที่อันตราย และก็ยากลำบากมาก ใช้เงินก็เยอะ เป็นล้าน ในการจ้างลูกหาบ ในการจ้างไกด์ ในการซื้อสัมภาระต่างๆ ต้องใช้เวลานานด้วย หลายเดือน เพราะว่าไม่ใช่ว่าอยู่ๆ จะปีนไปได้เลย มันต้องค่อยๆ ปรับ ปรับสภาพร่างกาย
ไม่ใช่แค่แค่ความหนาว แต่ว่าเข้ากับความสูง ซึ่งมีอากาศเบาบาง ต้องค้างแรมในค่าย หรือว่าค่ายฐาน (base camp) ซึ่งมีอยู่เป็นระยะๆ ตั้งแต่ระดับ 2-3 กิโลเมตรจากระดับน้ำทะเล จนถึงระดับ 6-7 กิโลเมตร จากระดับน้ำทะเล คือเกือบจะถึงยอด จะมีค่ายพักแรมเป็นระดับๆ ไป เหล่านี้
คนเป็นพันขึ้นไปเพื่อจะพิชิตเอเวอเรสต์ คนเยอะมากจนกระทั่งพอใกล้ถึงยอด บางทีคนต้องเข้าคิว ต่อแถวยาวกันเลย โดยเฉพาะช่วงที่มันเป็นช่วงชันๆ แล้วก็ทางแคบ เพื่อที่จะรอขึ้นยอด ใครที่ไปถึงยอดก็ต้องรีบลงมา เพราะว่าคนอื่นเขารออยู่
ในเมื่อมันเยอะขนาดนั้น ปัญหาที่ตามมาจากการที่มีนักปีนเขาตั้งใจไปพิชิตเอเวอเรสต์ ก็คือขยะ ขยะที่พบบนทางขึ้นเอเวอเรสต์มีเยอะมากโดยเฉพาะพวกอุปกรณ์การปีนเขา เช่น ถังออกซิเจน หรือว่าพวกพลาสติก ยังไม่นับพวกอาหาร แพคเกจ หีบห่อต่างๆ แต่ก่อนนี้คนก็ทิ้งเอาไว้บนแถวๆค่ายพักแรม จนกระทั่งเกิดมลภาวะ
จึงต้องมีกฎว่า ใครที่ขึ้นไปต้องเอาขยะลงมา เขาจะมีการตรวจที่แถวค่ายพักแรมระดับต่ำๆ ว่าเอาขยะลงมาหรือเปล่า ถังเก็บออกซิเจน พวกหน้ากาก พวกธง พวกหีบห่อต่างๆ ซึ่งปีหนึ่งๆ ก็หลายสิบตัน ก็มีบางคนก็พยายามหลีกเลี่ยง แต่ว่าเจ้าหน้าที่ก็พยายามติดตามให้เอาลงมาให้ครบ
ล่าสุดนี้ เขามีกฎระเบียบใหม่ ว่าไม่ใช่แค่พวกพลาสติก พวกขยะต่างๆ ที่จะต้องเอาเก็บลงมาเท่านั้น แม้กระทั่งอุจจาระ ถ่ายแล้วต้องเอาลงมาด้วย ขนาดนี้เลย เพราะว่าตอนนี้อุจจาระบนยอดเขาเอเวอเรสต์ หรือว่าทางขึ้น มันเยอะมาก มีคนเขาคำนวณว่ามีประมาณ 3 ตัน ( 3,000 กิโลเมตร) ไม่รู้ว่าเป็นยอดสะสมหรือว่าเฉพาะยอดที่เกิดขึ้นในปีที่ผ่านมา
3,000 ตัน เป็นอุจจาระบนระดับสูงๆ ส่วนระดับล่าง ๆ นี้มีห้องน้ำ ห้องน้ำไม่ค่อยมีปัญหาเท่าไรเพราะมีการจัดการ แต่พอระดับสูงๆ 6-7 กิโลเมตรจากระดับน้ำทะเล ห้องส้วมมันจะไม่มีแล้ว คนก็ต้องช่วยตัวเอง แต่ก่อนช่วยกันยังไง ก็เข้าทุ่ง เข้าทุ่งแล้วตรงไหนที่มีหิมะก็ขุดหิมะ แล้วก็ถ่ายลงไป แล้วก็เอาหิมะกลบ
แต่ว่าบางจุดไม่มีหิมะ มีแต่หิน เพราะฉะนั้นคนบางคนเวลาถ่ายตรงบริเวณนั้น อุจจาระไม่ได้หายไปไหน หิมะก็ไม่ได้ฝังกลบ เห็นชัดเจน แล้วข้อสำคัญคือว่า หนาวๆ อย่างนั้นมันไม่ค่อยมีแบคทีเรีย อุจจาระก็เลยจะคาอยู่อย่างนั้น มันจะไม่เน่าสลายเหมือนกับข้างล่าง เพราะฉะนั้นมันก็จะส่งกลิ่นเหม็นมากขึ้นเรื่อยๆ แล้วมันสะสมกันมาหลายปี เป็นที่น่ารังเกียจมาก แล้วกลายเป็นปัญหา
ไม่น่าเชื่อ บนเขาสูงขนาดนั้น ขยะ ไม่ใช่ขยะอย่างเดียว อุจจาระกลายเป็นปัญหามาก เขาก็เลยออกกฎว่า ใครอุจจาระบนเขา ต้องเอาลงมา เขาจะให้ถุง แล้วขากลับลงมาเขาจะสำรวจถุงด้วยว่ามันมีอุจจาระหรือเปล่า เป็นถุงพิเศษมีแป้ง มีสารเคมีที่ผสมแล้ว เวลาถ่ายอุจจาระลงไปในถุง มันก็จะจับตัวแข็ง แล้วก็ดับกลิ่น
ถุงรับไปแล้ว ไม่มีผลงาน เอามาคืน เขาปรับ เพราะฉะนั้นรับไปแล้ว จ่ายเงินค่าถุง ลงมามีผลงานหรือเปล่า ไม่มีผลงานก็ถูกปรับ ถ้ามีผลงานเสร็จก็ถ่ายผลงานนั้น ทิ้งแล้วก็เอามาใช้ได้ 5-6 ครั้ง
เดี๋ยวนี้เป็นขนาดนี้ มันมีสาเหตุที่ว่า เดี๋ยวนี้การบริโภค การกิน การอยู่ การเที่ยวของคนเรามันสร้างปัญหาให้กับสิ่งแวดล้อมมาก และมันเป็นสิ่งที่เราต้องรับผิดชอบ เราต้องรับผิดชอบแม้กระทั่งอุจจาระของเรา เพราะว่าจะหวังพึ่งคนอื่นไม่ได้ ถ้าไม่ทำก็จะเป็นปัญหา
อันนี้ มันก็เป็นสิ่งที่ชี้ให้เห็นว่า ทุกวันนี้คนเราแต่ละคนไม่ว่าจะกิน ดื่ม เที่ยว เล่น เราต้องรับผิดชอบต่อผลของการกระทำของเรา เพราะไม่เช่นนั้นมันจะส่งผลเสียต่อธรรมชาติมาก
แต่ถึงอย่างนี้คนก็ยังไม่ค่อยตระหนัก แม้แต่พื้นราบ เวลาจะทิ้งขยะอะไรก็ทิ้งตามสบาย ทิ้งข้างถนน ขวดน้ำ ขวดพลาสติก เราไม่รับผิดชอบ คนมักจะอ้างว่าก็จ้างคนมาดูแลแล้ว ทำไมฉันจะต้องเอาไปทิ้งลงถังขยะด้วย ฉันจะทิ้งที่ไหนก็เรื่องของฉัน ความคิดแบบนี้มันล้าสมัยแล้ว ต้องรับผิดชอบ อย่างน้อยก็เอามาทิ้งให้เป็นที่ ทิ้งลงถังขยะ หรือดีกว่านั้นคือพยายามที่จะรีไซเคิล
เดี๋ยวนี้มันไปถึงขั้นว่าแม้กระทั่งอุจจาระ เราก็ต้องรับผิดชอบแล้ว พูดถึงอุจจาระก่อนฉัน(กินอาหาร)นี้คงจะไม่เป็นอะไร ก็ให้ระลึกเอาไว้ว่า คือสิ่งที่เรารับผิดชอบ เมื่อเรากินอะไรก็ต้องรับผิดชอบต่อสิ่งที่เกิดขึ้นตามมาหลังจากการกินของเราด้วย..