พระอาจารย์ไพศาล วิสาโล วัดป่าสุคะโต แสดงธรรมก่อนฉันเช้าวันที่ 8 สิงหาคม 2567
มีผู้หญิงคนหนึ่งเธอเป็นพนักงานบริษัทแห่งหนึ่ง บริษัทนี้ใหญ่มากคือมีสาขาหลายสาขา และเธอก็ทำงานให้กับสาขาของบริษัทแห่งนี้ แต่เพิ่งทำได้ไม่นานแค่ปีสองปี เรียกว่ายังใหม่อยู่
วันนั้นหนาวมาก พอเธอเดินเข้าไปในสำนักงานของบริษัท ก็ไปเจอชายไร้บ้านคนหนึ่งนั่งอยู่ตรงล็อบบี้ของสำนักงานอยู่ใกล้ๆ กับ รปภ. ชายไร้บ้านคนนั้นซึ่งอายุประมาณเกือบ 70 แล้วดูท่าทางโทรมมาก อ่อนเพลีย และก็ดูเหมือนจะผวา หวาดกลัว
เธอเห็นก็เข้าไปถามว่ามีอะไรจะให้ช่วยไหม ชายไร้บ้านคนนั้นบอกว่า อยากจะได้อะไรอุ่นๆ สักหน่อย เพราะว่าที่เข้ามานี้เพื่อจะได้หลบหนาว แต่ก็ยังรู้สึกหนาวสะท้านอยู่ ผู้หญิงคนนั้นก็เลยยื่นกระบอกน้ำร้อนให้ ชายคนนั้นก็ขอบอกขอบใจใหญ่
เธอก็เลยต่อไปว่า ได้กินอะไรมาบ้างหรือยัง เพราะดูชายคนนี้คงจะหิว เขาบอกว่ายังไม่ได้กินอะไรเลย ถ้าอย่างนั้นเข้าไปข้างในมีร้านอาหารอยู่ เดี๋ยวจะพาไปกินอาหาร รปภ.บอกว่าห้ามเข้าไป กฎระเบียบของบริษัทนี้ห้ามคนที่เป็นคนไร้บ้านนี้เข้าบริษัท เพราะว่าบริษัทนี้ไม่ใช่เป็นพักพิงของคนไร้บ้าน
ผู้หญิงคนนั้นเขาก็เถียงกับรปภ.ว่า นี่เขาเป็นคน เวลาเขาลำบากเราควรจะช่วยเหลือเขา อย่างน้อยเราก็ควรจะเคารพและให้เกียรติเขา ไม่ใช่ขับไล่ไสส่ง กำลังคุยกับรปภ.อยู่ดีๆ ผู้จัดการก็ลงมา พอเห็นชายไร้บ้านคนนั้น ก็ไล่เลย บอกว่าออกไป ออกไป ไปได้แล้ว ที่นี่ไม่ใช่สถานสงเคราะห์คนยากไร้
ชายไร้บ้านทำท่าจะเดินออกไปจากสำนักงาน ผู้หญิงคนนั้นก็รีบเดินตามไป แล้วกระซิบบอกว่า เดี๋ยวไปรอ เจอกันที่ประตูหลังนะ เดี๋ยวฉันจะพาไปกินข้าว พอชายคนนั้นออกจากสำนักงาน เธอก็ไปยืนรอที่ประตูหลัง ชายไร้บ้านก็มาหาเธอตรงที่จุดนัดพบนั้น
แล้วเธอก็พาไปร้านอาหารไม่ไกล นั่งที่โต๊ะเดียวกันเลย ไม่ได้มีทีท่ารังเกียจ มีแต่ความเป็นมิตร บอกชายคนนั้นว่าอยากกินอะไร สั่งเลย ชายคนนั้นก็บอกขอบอกขอบใจใหญ่เลย แล้วก็ถามว่าสงสัยคุณคงจะมีเงินเดือนสูง จึงสามารถเลี้ยงข้าวเลี้ยงอาหารคนได้สบายๆ โดยไม่ลังเลเลย
ผู้หญิงคนนั้นก็บอกว่าเงินเดือนไม่มากหรอก จริงๆตอนที่มาสมัครงาน เจ้านายบอกว่าจะให้เงินเดือนสูง แต่พอบอกรับมาทำงานแล้ว ก็ให้เงินเดือนนี้ค่อนข้างต่ำ แต่ก็ไม่เป็นไรเพราะว่าฉันทำงานแล้วมีความสุข ถึงแม้จะเงินเดือนไม่มาก แต่ว่าฉันก็มีความสุขที่ได้ช่วยคนที่เดือดร้อน เพราะว่าแม่เคยบอกว่า เวลาเจอใครเดือดร้อนนี้อย่าไปละเลยเพิกเฉย
ระหว่างที่ชายไร้บ้านคนนั้นกินข้าว ก็ถามชื่อหญิงคนนี้ว่าชื่ออะไร เธอบอกว่าเธอชื่อแนนซี่ แล้วถามเขาบ้าง เขาบอกชื่อริชาร์ด นี้เป็นธรรมเนียมของฝรั่ง เขาจะถามชื่อแซ่กัน พอเลี้ยงข้าวเสร็จ ชายคนนั้นก็เดินออกจากภัตตาคารพร้อมกับขอบคุณ ผู้หญิงคนนั้นก็กลับไปทำงาน
ดูเหมือนกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น จนกระทั่งหนึ่งเดือนต่อมา แนนซี่ไปทำงาน พอถึงสำนักงานก็ปรากฏว่าเพื่อนร่วมงานนี้เงียบกริบเลย เธอก็สงสัยว่าเกิดอะไรขึ้น ก็ได้ความว่าเจ้าของบริษัทเพิ่งเสียชีวิต แล้วก็ยังไม่รู้ว่าจะมีใครเป็นผู้สืบทอด เพราะว่าเจ้าของบริษัทนี้ไม่มีทายาท ก็เลยไม่รู้ว่าบริษัทนี้จะไปอย่างไรต่อ เพราะเปลี่ยนเจ้าของแล้ว
สักพักคนก็เห็นทนายความของเจ้าของบริษัทเดินเข้ามา ผู้จัดการนี้รีบปราดเดินเข้าไปหาเลย ไปหาทนายความเพราะรู้ว่าทนายความนี้คงจะมาให้ข้อมูลว่าบริษัทนี้ตกเป็นของใคร ผู้จัดการก็คงอยากจะมีส่วนได้ส่วนเสียกับพินัยกรรมของเจ้าของ
แต่ว่าทนายความบอกว่ามีเรื่องอยากจะคุยกับคนๆ หนึ่ง แล้วถามหาว่าใครคือแนนซี่ ในนั้นมีแนนซี่คนเดียวก็คือหญิงสาวที่เพิ่งทำงานมาได้สักปีสองปี พอเธอแนะนำตัว ทนายความก็บอกว่าขอคุยส่วนตัวหน่อย พอเข้าไปในห้อง ทนายความก็ทำท่าจะเปิดเอกสารให้ดู
แนนซี่ก็สงสัยว่าเกิดอะไรขึ้นหรือ “ฉันงงแล้วนี่ !” ทนายความบอกว่า “ตอนนี้คุณเป็นเจ้าของคนใหม่ของบริษัทแล้ว ขอแสดงความยินดีด้วย”
แนนซี่งงเลย ทำไมเป็นฉันล่ะ ทนายความบอกว่าเจ้าของคือริชาร์ดนี้ เขาทำพินัยกรรมมอบบริษัทให้คุณเป็นเจ้าของสืบต่อจากเขา นี่คือเอกสารช่วยเซ็นด้วย แนนซี่งงเลย
แล้วทนายความยังบอกต่ออีกว่า มีจดหมายฉบับหนึ่งด้วยจากคุณริชาร์ด จดหมายนั้นเขียนถึงแนนซี่ เขียนว่าเมื่อหกเดือนก่อน ผมพบข่าวร้ายว่าผมเป็นมะเร็ง และจะอยู่ได้อีกไม่กี่เดือน ผมก็เตรียมตัวเตรียมใจที่จะจากโลกนี้ไป แต่ผมมีกังวลอยู่อย่างหนึ่งก็คือ บริษัทที่ผมสร้างมากับมือนี้ไม่รู้จะมอบให้ใคร เพราะว่าผมไม่มีลูก ไม่มีทายาท
ทีแรกผมตั้งใจว่า จะมอบให้กับผู้จัดการของสาขาใดสาขาหนึ่งที่เขามีความสามารถ และก็มีคุณธรรม แต่ผมก็ไม่รู้ว่าเขาเป็นคนอย่างไร ก็เลยคิดว่าถ้าหากว่าผมไปบริษัทในฐานะเจ้าของบริษัท ผู้จัดการเหล่านั้นคงจะปฏิบัติดีกับผม แต่ผมไม่รู้ว่าธาตุแท้เขาเป็นอย่างไร ผมก็เลยปลอมตัวเป็นคนไร้บ้าน แล้วก็ไปเยี่ยมสาขาต่างๆ ของบริษัท
แล้วผมก็ผิดหวังมาก เพราะว่าแทบทุกสาขาไม่ยอม แม้กระทั่งจะให้ผมเข้าไปในสำนักงาน ผมหวังว่าสาขานี้ ผมพอจะมีความหวังบ้าง เพราะว่าทอมมี่คือผู้จัดการสาขานี้เขาเป็นคนที่ผมปั้นมากับมือเลย เขาเป็นคนที่มีอุดมคติและก็มีไฟมาก
แต่ว่าพอผมไปสาขาของเขา กลับถูกเขาไล่ออกมา ผมผิดหวังมาก แต่ว่าผมก็ดีใจที่ได้เจอคุณ เพราะคุณมีความเมตตากรุณา มีความเอื้อเฟื้อแม้กระทั่งคนไร้บ้านอย่างผม ผมก็เลยคิดว่าถ้าผมมอบบริษัทนี้ให้คุณ มันจะดีกว่า
ถึงแม้คุณอาจจะมีประสบการณ์น้อย แต่คุณมีคุณธรรม มีความเมตตากรุณา มีความเข้าใจชีวิต อันนี้แหละคือคุณสมบัติสำคัญของผู้ที่เป็นเจ้าของบริษัท ของผม ผมก็เลยมอบบริษัทนี้ให้คุณสืบทอดจากผมต่อไป
ก็กลายเป็นว่าชายไร้บ้านคนนี้ จริงๆ แล้วเป็นเจ้าของบริษัท แต่เขาปลอมตัวมา และเขาก็หวังว่าทอมมี่ซึ่งเป็นเด็กที่เขาปั้นมากับมือนี้จะเป็นความหวังของบริษัทได้ แต่ว่าพอมาเจอทอมมี่จริงๆ เข้า ทอมมี่เปลี่ยนไป แต่ก็มาประทับใจกับแนนซี่ก็เลยมอบบริษัทให้
เรื่องนี้ก็มีส่วนจริง แต่อาจจะไม่จริงทั้งหมด มันก็เป็นสิ่งที่ชี้ให้เห็นว่า ความเมตตากรุณาของคนเรานี้ไม่มีวันสูญเปล่า คนที่เราช่วยนี้ใครจะรู้ เขาอาจจะมอบรางวัลให้กับเรา หรือว่าอาจจะทำให้เราได้โชคได้ลาภอย่างไม่คิดฝันมาก่อนก็ได้ ความดีนี้มีอานิสงส์เสมอ
แต่ว่าโชคลาภหรือว่าทรัพย์สมบัติที่ตามมานี้มันเป็นผลพลอยได้ รางวัลที่แท้นี้ก็คือ ความสุขที่ได้จากการช่วยเหลือผู้คน ถึงแม้ว่าริชาร์ดจะเป็นคนไร้บ้านจริงๆ ไม่ใช่เป็นเจ้าของบริษัท แต่การที่แนนซี่ได้ช่วยริชาร์ด เธอก็ได้รับอานิสงส์อยู่แล้วคือ ความสุขใจ ส่วนบริษัทที่ตกมาเป็นของเธอเหมือนกับส้มหล่นนี้ มันก็เป็นผลพลอยได้เท่านั้น
เพราะฉะนั้น ถ้าเราเชื่อมั่นในความดี ในความเมตตากรุณา และก็พยายามบำเพ็ญความดี มีเมตตากรุณา มีน้ำใจต่อผู้อื่น คนที่ได้รับอานิสงส์จากความดีนั้นเต็มๆ คือเรา ไม่ใช่แค่คนที่ได้รับความช่วยเหลือจากเราเท่านั้น แต่ตัวเราเองด้วย
อย่างที่พระพุทธเจ้าตรัสว่า ผู้ให้ความสุขย่อมได้รับความสุข แต่ว่าเรื่องนี้ก็เป็นเรื่องที่เตือนให้เราเห็นว่า อย่าไปดูถูกดูแคลนคนที่ดูไร้บ้านยากจน เพราะเขาอาจจะเป็นอะไรที่มากกว่าที่เราคิดก็ได้ เพราะฉะนั้นให้ปฏิบัติต่อคนทุกคนเหมือนกับเป็นเพื่อนมนุษย์ ไม่ว่ารวยหรือจน ไม่ว่าวณิพก หรือว่าเป็นคนยากไร้ก็ตาม.