พระอาจารย์ไพศาล วิสาโล วัดป่าสุคะโต แสดงธรรมก่อนฉันเช้าวันที่ 7 กันยายน 2567
แต่ก่อนเวลาอาตมาไปบิณฑบาตในหมู่บ้านก็มักจะมีคนแก่มาใส่บาตร บางคนที่ไม่แก่ก็มี แต่ว่าแทบทั้งหมดเป็นผู้หญิง ถ้าไม่เป็นยาย ก็เป็นแม่ และส่วนใหญ่แม่หรือยายก็จะพาเด็กในบ้านตัวเล็กๆมาใส่บาตร
เด็กก็น่าจะเป็นลูกหรือเป็นหลาน แล้วเด็กพอมาใส่บาตรก็จะรู้ธรรมเนียมการใส่บาตร และรู้เรื่องบุญเรื่องกุศลไปในตัวด้วย
แต่ระยะหลังนั้นเห็นแต่คนแก่มาใส่บาตรหรือเห็นแต่แม่มาใส่บาตร ยายใส่บาตร ไม่ค่อยเห็นเด็กแล้ว ถามว่าเด็กไปไหน เขาบอกเด็กยังไม่ตื่นเมื่อคืนดูโทรทัศน์จนดึก แต่ตอนหลังนี้ก็เปลี่ยนไป เด็กตื่นแต่เช้าแต่ว่าไม่ได้มาใส่บาตรกับแม่หรือยาย ทำอะไร ดูโทรศัพท์มือถือ
จ้องโทรศัพท์ตาเขม็ง แม่ใส่บาตรก็ใส่ไป ยายใส่บาตรก็ใส่ไป บางทีแม่หรือยายจะชวนลูกหรือหลานมาใส่บาตร แต่ลูกหรือหลานไม่ยอมเพราะติดเสียแล้ว
อย่างเมื่อเช้านี้ก็ผ่านบ้านหนึ่ง ทุกวันจะเห็นว่าถ้าไม่ใช่ปู่ก็ป้า หรืออาจจะเป็นแม่มาใส่บาตร แต่เด็กอายุ 5 ขวบนั่งอยู่บนแคร่ไม่สนใจพระ ไม่สนใจอะไรเลย เพราะว่าสนใจแต่โทรศัพท์ที่ถืออยู่ในมือ เป็นอย่างนี้ทุกวัน เห็นทุกเช้า
ถ้าเรามองให้ดีก็เป็นสิ่งที่น่าเป็นห่วงเพราะเด็กก็คงจะถูกป้อนโทรศัพท์ให้ดูตั้งแต่เล็ก อาจจะตั้งแต่ 2-3 ขวบ ซึ่งก็เป็นวิธีของผู้ใหญ่ที่ไม่มีเวลาให้กับเด็ก เด็กบางทีก็ร้องกระจองอแง ก็เลยยัดโทรศัพท์ให้ บางทีก็ยัดแท็บเล็ตให้ เอาไปดูซะ เอาไปดูการ์ตูน ดู YouTube ไป จะได้เลิกร้อง เลิกบ่น
เดี๋ยวนี้วิธีเลี้ยงเด็กเป็นอย่างนี้ซึ่งเป็นอันตรายมาก เพราะถึงแม้เด็กจะไม่รบกวนผู้ใหญ่ แต่ว่าโทรศัพท์มือถือกำลังสร้างนิสัยที่ไม่ดีให้กับเด็ก ทำให้เด็กติดโทรศัพท์ สุดท้ายก็สมาธิสั้น เพราะที่ดูโทรศัพท์นั้นไม่ใช่ดูข้อความนิ่งๆแต่ดูภาพ ดูอนิเมชั่น ดูภาพเคลื่อนไหว เป็นแบบนี้บ่อยๆ ทั้งวัน จะทำให้มีสมาธิสั้น ทนอะไรที่มันนิ่งๆไม่ได้ อะไรที่นิ่งๆสัก 5 วินาทีก็ไม่ชอบแล้ว
เพราะฉะนั้นเด็กจะมีปัญหามากสมาธิสั้นหมายความว่าไม่สามารถจะมีสมาธิจดจ่อกับอะไรได้นานๆ และถ้าจะจดจ่อได้ก็เป็นสิ่งที่ตื่นเต้นเร้าใจ มีดราม่า และปัญหาไม่ได้มีเพียงเท่านั้น เพราะเด็กติดโทรศัพท์แล้วสิ่งที่ตามมาก็คือเปลืองเงินเปลืองทอง
เดี๋ยวนี้ค่าใช้จ่ายของพ่อแม่เพื่อจ่ายเป็นค่าโทรศัพท์ ค่าสัญญาณให้ลูกสูงมากเดือนหนึ่งเป็น 100 หรืออาจจะมากกว่านั้น ยังไม่นับค่าโทรศัพท์
เปลืองเงินยังไม่เท่าไหร่แต่เปลืองเวลา เด็กเดี๋ยวนี้เอาเวลาที่มีอยู่ไปเล่นโทรศัพท์ สุดท้ายก็ติดเกม พอติดเกมก็แย่แล้วไปเรียนหนังสือก็ไม่รู้เรื่อง
เด็กเดี๋ยวนี้ไม่มีสมาธิกับการเรียนหนังสือส่วนหนึ่งเพราะสมาธิสั้น แต่อีกส่วนหนึ่งก็เพราะใจมันโหยหาอยากจะเล่นเกม เพราะฉะนั้นก็เลยไม่มีสมาธิ
หลายๆประเทศมีนโยบายที่เข้มงวดมากเกี่ยวกับการใช้โทรศัพท์ของเด็ก อย่างในอเมริกาตอนนี้มี 10 รัฐแล้วที่ห้าม โรงเรียนที่รัฐสนับสนุน ไม่ให้เด็กเอาโทรศัพท์มือถือเข้าไปในโรงเรียน หรือเข้าไปในชั้นเรียน เอาเข้าไปในโรงเรียนได้แต่ห้ามเอาเข้าห้องเรียน เพราะไม่เช่นนั้นเด็กก็จะไม่เป็นอันเรียนคิดแต่จะดูโทรศัพท์อย่างเดียว ก็ไม่ใช่เรื่องง่ายเพราะเด็กก็มีวิธีซิกแซ็ก
บางรัฐนั้นยังไม่มีนโยบายนี้ทั้งรัฐแต่บางเมืองก็มีนโยบายกวดขันเรื่องนี้ เช่น ที่ลอสอองเจลิส (LA) โรงเรียนทุกโรงเรียนของ LA เด็กนักเรียนห้ามเอาโทรศัพท์มือถือเข้าไปในชั้นเรียน หลายโรงเรียนอาจจะไม่ได้รับคำสั่งจากเมืองหรือจากรัฐ เพราะเมืองหรือรัฐที่สังกัดยังไม่มีนโยบาย แต่ผู้บริหารโรงเรียนก็มีนโยบายเรื่องนี้ชัดเจน ประมาณ 80% ของโรงเรียนในอเมริกาจะห้ามไม่ให้เด็กเอาโทรศัพท์มือถือเข้าไปในชั้นเรียน
และแม้แต่อยู่นอกชั้นเรียนแล้วก็ห้ามใช้ ไม่อนุญาตให้ใช้โซเชียลมีเดียจาก Wi-Fi ของโรงเรียน เรื่องนี้เป็นนโยบายที่ไม่รู้ว่าจะทำได้จริงหรือไม่ เพราะเด็กติดโทรศัพท์มือถือกันงอมแงมเสียแล้ว และยังมีปัญหาอีก ถึงแม้จะไม่ได้ใช้โทรศัพท์มือถือในโรงเรียนแต่กลับไปบ้านก็ติดอีก เล่นโทรศัพท์ทั้งวันจนกระทั่งไม่มีเวลาหลับไม่มีเวลานอน ไม่มีเวลาพักผ่อน ไม่มีเวลาอ่านหนังสือ ไม่มีเวลาออกกำลังกาย
ไม่ใช่แค่สุขภาพกายย่ำแย่อย่างเดียว สุขภาพจิตก็ย่ำแย่ เพราะว่าโทรศัพท์มือถือนั้นเป็นช่องทางที่ทำให้อารมณ์ขุ่นมัวได้ง่าย ไม่ว่าความโลภหรือว่าความโกรธ ความหงุดหงิด ความเกลียด เดี๋ยวนี้ก็บูลลี่กันทางโทรศัพท์มือถือนั่นแหละ
คราวนี้ปัญหาไม่ได้อยู่เพียงแค่เด็กที่ย่ำแย่เพราะโทรศัพท์มือถือ เดี๋ยวนี้ผู้ใหญ่เองก็เป็น บางทีพ่อแม่ก็ห้ามลูกให้งดใช้โทรศัพท์มือถือไม่ได้เพราะพ่อแม่ก็ติด
แล้วคนสมัยนี้พอมีเวลาว่างเมื่อไหร่ก็เป็นต้องหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมาไถ สมัยก่อนนั้นพอเรามีเวลาว่างเราก็ทำงานอดิเรก คนเฒ่าคนแก่หรือคนหนุ่มคนสาวก็ทอผ้า สานกระบุงตะกร้าในเวลาว่าง ถ้าเป็นในเมืองก็อาจจะปลูกต้นไม้ อาจจะทำครัว อาจจะถักโครเชต์
สมัยนี้สำหรับเด็กคำว่างานอดิเรกนั้นคนไม่ค่อยรู้จักแล้วเพราะว่างเมื่อไหร่ก็ไถโทรศัพท์มือถือ ทีแรกก็ว่างไม่มีอะไรทำก็ไถโทรศัพท์มือถือ ไถไปไถมาปรากฏว่าไม่มีเวลาว่างแล้ว เดี๋ยวนี้คนมักจะบ่นว่าไม่มีเวลา ไม่มีเวลา จากเดิมที่มีเวลาว่างมากจนกระทั่งใช้โทรศัพท์มือถือเป็นว่าเล่น กลายเป็นว่าไม่มีเวลาแล้ว
ไม่ใช่เด็กอย่างเดียวผู้ใหญ่ก็เป็น ไม่มีเวลาๆ ไม่มีเวลาสวดมนต์ ไม่มีเวลาทำสมาธิ ไม่มีเวลาออกกำลังกาย ไม่มีเวลาไปหาพ่อหาแม่ แต่มีเวลาไถโทรศัพท์มือถือ ไถไปไถมาก็เสพติด
ที่จริงธรรมชาติของคนเรานั้นเสพติดอะไรได้ง่ายอยู่แล้ว เรียกว่า “ติดเสพ” ธรรมชาติของคนเราติดเสพง่ายอยู่แล้ว แต่สมัยก่อน มันจะสนองความอยากเสพได้ยากเพราะไม่มีเทคโนโลยี
แต่เดี๋ยวนี้โทรศัพท์มือถือทำให้ติดหนักขึ้นโดยเฉพาะติดเสพ เสพเกม เล่นเกมจนติด หรือว่าติดการช็อป ติดหนัง ติดวิดีโอ ติดเพลง คนเราแนวโน้มก็ติดกันง่ายอยู่แล้ว โทรศัพท์มือถือทำให้ติดง่ายขึ้นเพราะช่องทางในการเข้าถึงสิ่งเหล่านี้มันง่าย
และยิ่งไม่รู้จักไม่มีงานอดิเรกทำ พอเวลาว่างมีเมื่อไหร่ก็ไถเมื่อนั้น ก็เลยเกิดการเสพติดหนักขึ้น “ติดเสพ” เดี๋ยวนี้แม้กระทั่งพระก็เป็น แต่ก่อนพระมีเวลาว่างก็ภาวนา ถ้าเบื่อภาวนาก็มาถักถลกบาตร ทำขาบาตร พวกนี้เป็นงานอดิเรกของพระ เป็นของเล่นที่ทำให้บวชได้นาน
แต่ตอนหลังบาตรหาง่าย ขาบาตรหาง่าย ถลกบาตรก็หาง่าย เพราะโยมเอามาถวาย ไม่ต้องทำเอง ไม้กวาดก็มีคนเอามาถวาย ไม่ต้องทำเอง มีเวลาว่างก็เลยไถโทรศัพท์ ไถไปไถมาติด ก็เลยเลิกภาวนา
แต่ก่อนยังภาวนานั่งสมาธิวันละหลายชั่วโมง แต่ตอนหลังค่อยๆทำน้อยลง เพราะว่าติดโทรศัพท์มือถือและก็เล่นจนกระทั่งแม้แต่เวลาภาวนาก็ไม่มีแล้ว เอาแต่จ้องโทรศัพท์
ทีแรกก็ติดโซเชียล ทีหลังก็ติดเกม ติดเกมหนักมาก พอติดเกมไม่เท่าไหร่ ตอนหลังก็เริ่มติดการพนัน แวะเข้าเว็บการพนัน แต่ก่อนตอนก่อนบวชก็เข้าอยู่พอบวชแล้วก็ไม่ค่อยได้เข้าเว็บ แต่พอมีเวลาว่างมากขึ้นก็เข้าแล้ว
ทีนี้จากการเล่นเกมติดเกม ก็มาเป็นการติดพนัน ติดเว็บพนัน เรียกว่าแย่ทีเดียว ขนาดพระก็ยังเสียเรียกว่าเสียผู้เสียคนได้เพราะโทรศัพท์มือถือ นับประสาอะไรกับฆราวาสที่ไม่มีวินัยมากวดขัน
เพราะฉะนั้นเรื่องโทรศัพท์มือถือนี้จึงต้องระมัดระวัง มันเป็นอันตรายทีเดียวถ้าหากว่าเกี่ยวข้องกับมันอย่างไม่ถูกต้อง อย่าว่าแต่เด็กเลย ผู้ใหญ่เองก็พลาดท่าเสียทีได้
แต่ว่าอย่างน้อยๆ ถ้าเรามีลูกมีหลาน ก็ต้องพยายามอย่าไปสนองความอยากของเด็กด้วยการยัดโทรศัพท์มือถือให้เด็กเพื่อแก้รำคาญ ต้องรู้จักหาอะไรให้เด็กทำ อาจจะเป็นปลูกต้นไม้ อ่านหนังสือ หรือว่าสมัยก่อนตอนเป็นเด็กๆก็สะสมแสตมป์ แต่เดี๋ยวนี้คงจะไม่ได้แล้วต้องมีอย่างอื่นทำ
พ่อแม่บางคนก็ชวนลูกทำครัว ชวนลูกวาดรูป ชวนลูกทำศิลปะ เรื่องพวกนี้เรียกว่าเป็นการกระตุ้นให้เด็กใฝ่ทำ เรียกว่าไม่ค่อยอันตรายเท่าไหร่ แต่ถ้าใฝ่เสพนั้นถือว่าอันตราย
แม้เป็นนักบวชนั้นถ้าใฝ่เสพโดยเฉพาะเสพทางโทรศัพท์มือถือก็จะแย่ วันๆไม่เป็นอันภาวนาเอาแต่ดูโทรศัพท์มือถือทั้งวัน ตาก็เสียสุขภาพ ก็แย่ และจิตใจก็เสื่อมโทรมเป็นกันหมดทั้งเด็กทั้งผู้ใหญ่ ทั้งพระทั้งโยม เพราะไม่เห็นโทษของโทรศัพท์มือถือ.