พระอาจารย์ไพศาล วิสาโล วัดป่าสุคะโต แสดงธรรมก่อนฉันเช้า วันที่ 6 กันยายน 2567
ชายคนหนึ่งได้ลาภก้อนโตมาเป็นเงิน 20 ล้านบาท ไม่ใช่เพราะว่าถูกลอตเตอรี่รางวัลที่ 1 หรือว่าขายที่ได้ แต่เป็นมรดกจากทางบ้าน ซึ่งก็คงจะมาจากพ่อแม่
พ่อแม่ก็คงจะร่ำรวยมากและไม่อยากให้ลูกได้รับมรดกเมื่อพ่อแม่ตายไปแล้ว คงจะคิดว่าในขณะที่พ่อแม่ยังมีชีวิตอยู่สินทรัพย์ที่มีก็แบ่งให้ลูกเพื่อเอาไปใช้ทำประโยชน์ ไม่ต้องรอให้พ่อแม่ตายเสียก่อน
ชายหนุ่มคนนี้พอได้เงิน 20 ล้านบาทมาแกก็ตั้งใจดีแทนที่จะเอาเงินไปซื้อรถหรือเอาไปปรนเปรอตนด้วยการกิน ดื่ม เที่ยว เล่น เหมือนกับคนจำนวนไม่น้อยที่ได้รับเงินก้อนโตมาแล้วใช้เงินไปในทางเสพหรือบำเรอตน
แกตั้งใจว่าเงินที่ได้มานั้นจะเอาไปลงทุนให้งอกเงย แล้วแกลงทุนอย่างไร
แกก็ไม่ค่อยมีความรู้และรู้ว่าทุกวันนี้มีช่องทางในการลงทุนมากมาย ดีกว่าเก็บเงินไว้ในธนาคารซึ่งดอกเบี้ยต่ำมาก จะไปซื้อหุ้นอย่างที่ใครเขาทำกันแกก็คงคิดว่าได้ผลตอบแทนน้อย
ตอนนี้ก็มีวิธีการลงทุนที่เรียกว่า “เทรด” ซึ่งแกก็ไม่ค่อยมีความรู้มาก จึงไปเรียนวิธีการเทรดจากสถาบันแห่งหนึ่ง คำว่าสถาบันก็คงจะตั้งไว้อย่างนั้น อาจจะไม่ใช่ว่าตั้งอยู่มานาน แต่ก็เรียกตัวเองว่าสถาบัน เรื่องการเทรดนี้มีคนพูดกันมาก เข้าใจว่าหมายถึงการเอาเงินไปลงทุน อาจจะซื้อหุ้นหรือสินทรัพย์อื่นๆซึ่งปัจจุบันมีหลายชนิดหลายแบบซับซ้อนมาก
ชายคนนี้จึงต้องไปเรียนวิธีการเทรด เข้าคอร์ส และแกก็ตั้งใจเรียน พอจบคอร์สทางสถาบันก็บอกว่าให้มีกิจกรรม อย่าเรียนเปล่าๆต้องหาประสบการณ์ด้วย
ชายคนนั้นจึงเอาเงิน 5 ล้านบาทไปให้สถาบันนำไปเทรด ก็คงจะหมายความว่าให้สถาบันนั้นเอาเงินไปลงทุนซื้อนั่นซื้อนี่ คงจะไว้ใจสถาบันนี้มาก ว่ามีฝีมือจะทำให้มีผลตอบแทนงอกเงยและคงจะเชื่อด้วยว่าผลตอบแทนที่ได้จะสูง
เพราะเดี๋ยวนี้มีคนพูดว่าถ้านำไปเทรดแล้วผลตอบแทนอาจจะได้ถึง 30% ต่อเดือนทีเดียว สถาบันนี้ก็คงจะชักชวนแกแบบนี้ แกจึงเอาเงิน 5 ล้านบาทไปลงทุน ปรากฏว่าไม่นานก็สูญไปหมด ไม่ได้ขาดทุน แต่สูญไปเลย
แกเสียใจมากไปปรึกษากับโค้ชของสถาบัน เดี๋ยวนี้โค้ชก็มีมากมีหลายแบบ โค้ชเรื่องเทรดก็มี โค้ชบอกว่าสามารถช่วยได้ จะหาทางช่วยทำให้เงินที่สูญไปกลับคืนมา “ทำอย่างไร” ก็เอาเงินไปให้เขาเทรด
เอาเงินไปให้โค้ชคนนี้เทรด แกก็เลยโอนเงินไปให้อีก 2 ล้านบาทโดยมีเงื่อนไขกับโค้ชว่าถ้าได้กำไรก็จะแบ่งกัน 50:50 แต่ไม่รู้ว่าถ้าขาดทุนจะร่วมกันรับผิดชอบการขาดทุนหรือเปล่า ไม่ได้บอก หรืออาจจะไม่รับผิดชอบถ้าขาดทุน
แต่ถ้าได้กำไร 50:50 ชายคนนี้ก็เชื่อโค้ช เชื่อทั้งความซื่อสัตย์สุจริตและเชื่อในฝีมือ ปรากฏว่าไม่นานก็สูญไปอีก 2 ล้าน หมดไปรวม 7ล้าน โดยที่ไม่มีอะไรงอกเงยเลย
แกเสียใจมากไม่รู้ว่าจะไปสู้หน้าพ่อแม่ได้อย่างไร เขาอุตส่าห์ให้เงินมาตั้ง 20 ล้าน เสียใจมาก ไม่รู้จะหาทางออกอย่างไร ไม่รู้จะเอาเงิน 7ล้าน คืนมาอย่างไร
พอไม่มีทางออกแกก็เลยฆ่าตัวตาย ซึ่งก็เป็นเรื่องที่ทั้งน่าเศร้าและเป็นอุทาหรณ์สอนใจว่า
ข้อแรกก็คือ การชักชวนไปลงทุนด้วยการเทรดนั้นก็ไม่ใช่ว่าจะปลอดภัยหรือไร้ความเสี่ยง เพราะว่าทุกวันนี้มีมิจฉาชีพมาหลอกเอาเงินโดยอ้างว่าไปเทรด ชวนให้ไปเทรดแบบนี้ก็มี
แต่ที่เอาเงินไปลงทุนจริงๆก็มี เข้าใจว่าสถาบันที่ว่าก็คงจะทำอย่างนั้นคือไม่ใช่หลอก แต่ชักชวนให้คนมีเงินเอาเงินไปลงทุน ไปเทรด
และคนที่ลงทุนก็คงจะเชื่อในฝีไม้ลายมือรวมทั้งเล็งผลเลิศหรือหวังแต่ได้ เชื่อว่าถ้าเอาเงินไปให้เขาลงทุนแล้วจะได้กำไรผลตอบแทนไม่ใช่แค่ 10%, 30% ต่อเดือน บางรายอ้างว่าได้ผลตอบแทนถึง 200% ต่อเดือน
และคนพูดก็น่าเชื่อถือ เพราะเป็นสถาบัน แต่ลืมมองไปว่ามันมีความเสี่ยงอยู่ด้วย ไม่ใช่ว่าจะได้มาง่ายๆ
แต่พอไปหลงเชื่อคำโฆษณาก็เลยยอมทุ่มเงินลงไป 5 ล้านแรกก็ยังไม่พอ ยังเชื่ออีกว่าถ้าทุ่มไปอีก 2 ล้าน จะได้คืนมา
เรื่องนี้ก็เป็นอุทาหรณ์ว่ารายได้หรือผลตอบแทนสูงๆและได้มาง่ายๆเร็วๆนั้น มันไม่มีถ้าเป็นการทำมาหากินแบบสุจริต
คนก็สูญเงินไปไม่น้อย ทั้งคนแก่บางทีเอาเงินสะสมที่เก็บมาหรือเงินบำเหน็จบำนาญไปลงทุน ไปเทรด เพราะหลงเชื่อ บางทีก็เป็นพวกมิจฉาชีพมาหลอกลวงไป
หรือถึงแม้ไม่ใช่มิจฉาชีพ แต่ก็ไม่ใช่ว่าไร้ความเสี่ยง เป็นอุทาหรณ์สอนใจว่าอย่าไว้เนื้อเชื่อใจหรือเล็งผลเลิศกับการลงทุนแบบนี้ง่ายๆ
แต่ถึงแม้ไม่ลงทุน ไม่เทรด แต่กรณีของชายคนนี้ก็เป็นอุทาหรณ์สอนใจว่า ลาภก้อนโตนั้นไม่ได้ปลอดจากภาระ เวลาเราได้เงินมานั้นมันเป็นโชค เป็นลาภก็จริง แต่มันก็เป็นภาระด้วย
ได้มา 20 ล้านก็เป็นภาระว่าทำอย่างไรจึงจะรักษาไว้ให้ได้ หรือทำอย่างไรจะทำให้งอกเงยขึ้นมา กลายเป็นทุกขลาภไป เพราะฉะนั้นลาภที่ได้มานั้น อาจจะลงเอยด้วยการที่ความทุกข์รุมเร้า ถ้าจัดการกับความทุกข์ไม่ได้ก็อาจจะคิดสั้นไป
เรื่องนี้สอนใจเราว่า ทรัพย์สมบัติ เงินทอง ถ้าเราไปยึดว่าเป็นของเราเมื่อไหร่ เราเป็นของมันทันที เวลาเงินหาย เงินสูญ เราก็อยากจะสูญหายไปกับมันด้วย หรืออยากจะกระโดดตามมันไปด้วย
คนเรานั้นถ้าหากไม่ยึดว่าทรัพย์สินเป็นของเรา เงินสูญไปก็ทำใจได้ แต่พอไปยึดว่าเป็นของเราเมื่อไหร่ เราเป็นของมันทันที ยอมไม่ได้ที่จะสูญไป อยากจะตามมันไปด้วย
และชายคนนี้ก็ตามไปจริงๆ แต่ว่าถึงแม้จะไม่ได้ทุกข์ขนาดนั้น แต่ว่าคนจำนวนไม่น้อยก็ทุกข์มากมายทีเดียวเวลาสูญทรัพย์ไป เพราะว่าเราเป็นของมันไปเสียแล้ว มันไปไหนเราก็อยากตามมันไป
เรื่องนี้น่ากลัวมาก แต่ว่าก็เป็นเรื่องยากที่คนทั่วไปจะมองหรือจะเห็นสัจธรรมว่า เงินไม่ใช่ของเรา เราไปยึดมันว่าเป็นของเราเมื่อไหร่ เราเป็นของมันทันที
อาจจะเห็นสัจธรรมแบบนี้ยากหรือทำใจแบบนี้ได้ยาก แต่อย่างน้อยก็ลองมองว่าวันนี้ไม่ใช่วันของเรา แต่พรุ่งนี้อาจจะเป็นวันของเราก็ได้
เพราะฉะนั้นถ้าคนเรามีความเชื่อว่าพรุ่งนี้อาจจะเป็นวันของเรา แม้จะทุกข์เศร้าโศกอย่างไรก็ยังพอที่จะกัดฟันให้ผ่านพ้นช่วงเวลานี้ไปได้
หลายคนที่เป็นเศรษฐีเคยผ่านความล้มเหลวมาแล้ว ธุรกิจล้มละลายมาแล้ว เศรษฐีจำนวนมากเคยผ่านช่วงนี้ เพราะวันนั้นไม่ใช่วันของเขา แต่วันนี้เป็นวันของเขา
คนที่ประสบความสำเร็จมากมายในเวลานี้ก็เคยเจอความล้มเหลวมาก่อน แต่เขาไม่ยอมแพ้ เขาอดทนที่จะฟันฝ่าความทุกข์มาได้
เพราะฉะนั้นแม้จะสูญเงินไปหลายล้าน ก็อย่าไปตีอกชกหัว ให้มองว่าวันนี้ไม่ใช่วันของเรา แต่พรุ่งนี้อาจจะเป็นวันของเราก็ได้ ก็จะทำให้เราสามารถที่จะฟันฝ่าอุปสรรคไปได้
และยิ่งถ้าหากว่าสามารถทำใจให้เห็นสัจธรรมว่า “ไม่มีอะไรเป็นของเรา” เงินที่สูญไปก็ไม่ใช่ของเรา ความทุกข์ก็ยากที่จะเกิดขึ้นได้
แต่ที่ทุกข์เพราะไปยึดว่าเป็นของเรา เป็นของเรา เราก็เลยกลายเป็นของมันทันที มันสูญไปเราก็อย่าไปสูญกับมัน เรื่องนี้เป็นเรื่องที่ต้องระวังมาก.