พระอาจารย์ไพศาล วิสาโล วัดป่าสุคะโต แสดงธรรมก่อนฉันเช้าวันที่ 3 กันยายน 2567
เมื่อกลางเดือนที่แล้วมีข่าวเล็กๆ ข่าวหนึ่ง แต่น่าสนใจนะสำหรับพวกเราโดยเฉพาะ สว. ที่กบินทร์บุรี มีครอบครัวหนึ่งครอบครัวนี้ก็มีย่าอายุ 90 แล้วก็ลูกชาย ลูกสาว ลูกสะใภ้ และหลานตัวเล็กๆ ประมาณสัก 5-6 ขวบ
วันหนึ่งหลานกลับจากโรงเรียนเห็นย่านั่งอยู่เฉยๆ ในห้อง หลานคิดเองว่าย่าคงไม่มีอะไรทำก็เลยไปเปิดโทรทัศน์ให้ย่าดู ที่จริงย่ากำลังนั่งสมาธิแต่พอหลานเปิดโทรทัศน์ให้ย่าดู ย่าบอกหลานเก่งนะเปิดโทรทัศน์เป็นด้วย แต่ย่าก็ไม่ได้สนใจโทรทัศน์นะ ย่าก็นั่งสมาธิต่อ
สักพักลูกสาวก็เข้ามาในห้อง แล้วก็พูดคุยกับแม่ แม่ก็สนทนาด้วยสักพัก แล้วแม่ก็นั่งสมาธิต่อ ผ่านไปพักใหญ่ ลูกสาวเห็นแม่นิ่งไปก็เลยเรียกแม่ ปรากฏว่าแม่ไม่ตอบ ตกใจนะก็เลยถาม แม่ทำอะไร แม่ทำอะไร
ปรากฏว่าแม่หมดลมไปแล้ว หมดลมขณะนั่งสมาธิ เป็นการจากไปที่หลายคนคงอิจฉานะ ไม่มีความเจ็บปวด ไม่มีความทุกข์ทรมาน ไม่มีการโวยวายตีโพยตีพาย ทำไมต้องเป็นฉัน ไปอย่างสงบ เหมือนกับปิดสวิตช์ เมื่อกี้ยังคุยกับหลาน ยังคุยกับลูกอยู่เลย แต่พอนั่งสมาธิต่อสักพัก ไปเสียแล้ว
นี่ไม่ใช่เรื่องบังเอิญเพราะว่าคุณย่านั่งสมาธิมานานแล้ว นั่งมา 60 ปีแล้ว ชอบสวดมนต์ ยิ่งพออายุมากๆ ก็ยิ่งชอบสวดมนต์แล้วก็นั่งสมาธิ ในห้องมีโทรทัศน์ แต่ว่าไม่เคยเปิดดู หลานตัวเล็กๆ ยังไม่รู้ว่าสมาธิเป็นยังไง เห็นย่านั่งอยู่นึกว่าย่าไม่มีอะไรทำเลยเปิดโทรทัศน์ให้ย่าดู ย่าก็ไม่รำคาญ
คนที่นั่งสมาธิบางคน ถ้าเกิดว่ามีใครในบ้านมาเปิดโทรทัศน์จะหงุดหงิดเลยนะ เปิดทำไมฉันกำลังนั่งสมาธิ ที่จริงถ้านั่งสมาธิเป็น ใครจะเปิด ใครจะส่งเสียงดังก็ไม่สนใจ คุณย่านี่ก็เหมือนกัน หลานจะเปิดโทรทัศน์อยากให้ดูลิเก แต่ย่าไม่สนใจ ไม่บอกหลานด้วยนะว่าเปิดทำไม ปิดซะ ไม่มี
เสียงจะดังก็ดังไปแต่ใจไม่สน ปรากฏว่าในที่สุดก็ไปอย่างสงบ อันนี้ก็เรียกว่าเป็นอานิสงส์จากการนั่งสมาธิมานาน 60 ปี ไม่ใช่มานั่งเอาตอนแก่ แต่ก็ยังดีถ้าเกิดคิดจะนั่งตอนแก่ เพราะว่าสามารถช่วยทำให้เราจากไปอย่างสงบได้
พอเราอ่านข่าวนี้เราก็จะเห็นนะ ความตายมันก็ไม่น่ากลัว มันไม่ได้แปลว่าจะต้องลงเอยด้วยความทุกข์ทรมานอย่างเดียว บางคนน่าจะป่วยหนักก่อนตายนะ แต่ว่าพอถึงเวลาตายก็สงบมาก อันนี้ไม่ใช่เพราะว่าโรคมันกรุณาต่อผู้ป่วย แต่เป็นเพราะใจต่างหาก ใจที่ฝึกมา
อย่างเมื่อหลายสิบปีก่อน มีแม่ชีคนหนึ่งมาป่วย บวชตอนอายุ 50 ก่อนหน้านี้ก็เป็นคนสนใจธรรมะ รู้ธรรมะมากกว่าพระเสียอีก แล้วก็ปฏิบัติตนเยี่ยงอุบาสิกาที่ดี แต่พออายุมากก็อยากจะออกบวช ก็เลยบวชชี บวชไม่นานปรากฏว่าเป็นโรคเบาหวาน แล้วเบาหวานก็ลาม หนักไปเรื่อยๆ
วันหนึ่งก็ให้หมอมาตรวจ หมอก็บอกว่ายังอยู่ได้อีกนาน แม่ชีคนนี้ชื่อแม่ชีใหญ่ ก่อนบวชชื่อคุณหญิงใหญ่ พอบวชแล้วก็เรียกแม่ชีใหญ่ แม่ชีใหญ่บอกหมอว่า ไม่ต้องปลอบใจฉัน
ธรรมดาของหมอนี่ก็จะบอกคนไข้ว่า อยู่ได้อีกนาน ไม่เป็นไรเดี๋ยวก็หาย แต่แม่ชีใหญ่บอกว่าไม่ต้องปลอบใจ คือรู้ตัวดี
หลังจากนั้นไม่นานพออาการกำเริบก็ไปบอกเด็กให้ไปนิมนต์พระมา นิมนต์พระที่รู้จัก พอพระมาก็นิมนต์พระช่วยสวดมนต์บทที่ตัวเองเลือก ก็บทธรรมจักรบ้าง อนัตตลักขณสูตรบ้าง ปฏิจจสมุปบาทบ้าง ท่านบอกเลยนะว่าจะให้สวดบทไหน
พอสวดเสร็จก็สนทนาธรรม สนทนาสักพักแม่ชีก็บอกว่าดิฉันขอทิ้งสังขารไว้ที่นี่นะ แล้วก็กราบพระด้วย กราบ 3 จบเสร็จฟุบเลย เหมือนเป็นลมนะ แต่ที่จริงไม่ใช่ ไปแล้ว แม่ชีกราบแล้วไม่ลุกเลย
ผ่านไปสักพักก็ยังไม่ลุก ก็เลยอุทานขึ้นมาว่า ตายจริงๆ หรือนี่ ตายไปแล้ว โอ เมื่อกี้ยังสนทนาธรรมกับพระอยู่เลย แถมยังกราบพระด้วย
ในความรู้สึกของแม่ชีตอนนั้นคงจะมีอาการทุกข์ มีทุกขเวทนา แต่ว่าใจปกติมากเพราะว่าได้ทำกรรมฐานมานาน แล้วก็ไม่กลัวตายด้วย ท่านก็รู้นะว่าใกล้จะหมดลมแล้ว จึงนิมนต์พระมา พระมาก็ยังสนทนาเหมือนคนปกติ แต่จริงๆ ทุกขเวทนากำเริบ แต่ว่าจิตใจนี่เอาอยู่ มีสติ พอถึงเวลาร่างกายมันก็ไปต่อไม่ไหวก็เลยดับ ร่างกายมันดับตอนที่กำลังกราบครั้งที่ 3 แล้วก็ฟุบเลย
นี้เป็นตัวอย่างว่า ความตายมันก็ไม่น่ากลัวแม้ว่าจะมีทุกขเวทนาเกิดขึ้น แต่ว่าถ้าฝึกจิตไว้ดีก็เอาอยู่ แต่ปกติคนที่เป็นเบาหวานแล้วก็ตาย มักจะมีอาการสารพัดรุมเร้าก่อนตาย
ตัวอย่างของ 2 ท่านที่พูดมา เหมือนกับว่านาฬิกาที่ถ่านค่อยๆ หมด พอถ่านหมด เข็มนาฬิกาก็นิ่งเลย ไม่กระดิก แต่คนส่วนใหญ่ไม่ได้ตายแบบนี้ คนส่วนใหญ่ก่อนตายก็มีโรครุมเร้า มีทุกขเวทนานานาชนิดสารพัดเกิดขึ้น ไม่ใช่ว่าจะจู่ๆ ก็ดับไป เหมือนกับปิดสวิตช์ ไม่ใช่
ตอนมีชีวิตอยู่ ตอนยังมีสุขภาพดีให้ระลึกนึกว่าตอนจะตาย ไม่ใช่ว่าจู่ๆ ร่างกายจะดับไปเหมือนปิดสวิตช์ หรือว่านาฬิกาถ่านหมด มันไม่ใช่อย่างนั้น ส่วนใหญ่ก็จะเจ็บป่วย ต้องนอนติดเตียง ถึงตอนนั้น เงินทอง ชื่อเสียง บริษัท บริวาร ที่ดินทองเพชร ไม่ได้ช่วยอะไรเลย อาจจะช่วยให้มีเงินค่ารักษาเยียวยา
แต่ส่วนใหญ่ก็เอาเงินไปใช้ในการยื้อชีวิต ซึ่งเพิ่มความทุกข์ทรมาน ถึงตอนนั้นใจสำคัญมาก ใจที่ระลึกถึงบุญกุศลแล้วจิตใจเกิดปิติอิ่มเอิบ แต่จะระลึกถึงกุศลได้มันก็ต้องลงทุนทำความดีมาก่อน ทำมาได้มากเท่าไหร่ก็จะมีเสบียง หรือต้นทุนให้หล่อเลี้ยงใจให้สงบไม่หวั่นไหว
แล้วยิ่งได้ฝึกสมาธิ ฝึกกรรมฐานมาด้วย สามารถที่จะอยู่กับทุกขเวทนาได้ด้วยใจที่ไม่ทุกข์ ยิ่งช่วยเข้าไปใหญ่
ที่สำคัญก็คือว่า ไม่กลัวตาย เพราะกลัวตายจะยิ่งตื่นตระหนกมาก แต่ถ้าไม่กลัวตายเพราะเจริญมรณสติประจำ ถึงเวลาจะตายแแม้ทุกขเวทนาจะกำเริบ แต่ว่าก็สามารถจะอยู่กับทุกขเวทนาได้ด้วยใจที่ไม่ทุกข์ ความทุกข์เป็นของกายแต่ใจไม่ทุกข์
เรื่องที่เล่าชี้ให้เห็นว่า คนเราตายสงบได้แล้วก็ตายในท่านั่งหรือท่ากราบก็ยังมีนะจนมาถึงทุกวันนี้ แต่ว่าไม่ใช่ว่าจะเป็นความบังเอิญนะ มันเป็นสิ่งที่เกิดจากการปฏิบัติมายาวนาน เพราะฉะนั้นถ้ามีเวลาตั้งแต่ตอนนี้ก็ให้ทำเสีย ถึงเวลาจะได้ไปสงบ