พระอาจารย์ไพศาล วิสาโล วัดป่าสุคะโต แสดงธรรมเย็นวันที่ 30 ตุลาคม 2567
ที่สหรัฐอเมริกามีอาจารย์กรรมฐานคนหนึ่งมีชื่อเสียงมาก ลูกศิษย์ลูกหาก็เยอะ ชื่อ แจ็ค คอร์นฟิลด์ (Jack Kornfield) แจ็คเคยบวชพระที่เมืองไทย แล้วก็ได้รู้จักอาจารย์กรรมฐานของไทยหลายท่าน รวมทั้งหลวงพ่อชา หลวงตามหาบัว แล้วก็ไปปฏิบัติที่พม่าอีกหลายปี
ตอนหลังก็สึกหาลาเพศ แต่ก็ไม่ทิ้งเรื่องกรรมฐาน เป็นอาจารย์สอนกรรมฐาน ตั้งสำนักปฏิบัติธรรมที่แมสซาชูเซตส์ แล้วที่แคลิฟอร์เนีย มีคนไปปฏิบัติธรรมที่นั่นพอสมควร โดยเฉพาะช่วงที่มีคอร์ส
มีคราวหนึ่ง มีผู้หญิงคนหนึ่งชื่อพอลล่า อายุประมาณ 40 ปีได้ มาปฏิบัติธรรม ไม่เคยมีประสบการณ์นี้มาก่อน แต่ว่าเธอมีความทุกข์มาก สีหน้าหม่นหมอง บ่งบอกถึงความเศร้า เสียใจ และความโกรธ เธอเพิ่งแยกทางจากสามี และในความรู้สึกของเธอ สามีเป็นคนที่ทิ้งเธอ ซึ่งทำให้ตอกย้ำความรู้สึกไม่ดีในตัวเธอ
เธอรู้สึกว่าตัวเองเป็นคนที่ไม่น่ารัก ไม่มีใครอยากคบ ถึงคบก็ทนอยู่ไม่ได้นาน สุดท้ายก็ทิ้งเธอไป มีเสียงอย่างนี้อยู่ในหัวเธอว่าเธอเป็นคนไม่น่ารัก ไม่มีใครที่จะทนอยู่กับเธอได้หรอก
แจ็คก็ถามพอลล่าว่า ความรู้สึกแบบนี้มีมานานหรือยัง เธอเล่าว่ามีมาตั้งแต่เด็ก ตอนที่เธออายุ 3 ขวบ พ่อก็ทิ้งเธอให้อยู่กับแม่ แล้วไม่กลับมาอีกเลย จนกระทั่งไม่กี่ปีก็ล้มหายตายจากไป ตลอดเวลาเธอรู้สึกว่าเธอต้องทำอะไรผิดพลาดบางอย่าง พ่อถึงทิ้งเธอไป เวลาพูดเรื่องนี้ เธอจะมีความรู้สึกเศร้าเสียใจ แล้วก็มีความโกรธด้วย ทั้งโกรธตัวเอง แล้วก็โกรธพ่อ
แจ็คก็แนะนำให้เธอเจริญสติ แล้วก็ใช้สตินี้แหละมารับมือกับอารมณ์ พอเธอนั่งภาวนา ก็มีเสียงในหัวที่ชี้หน้าว่า เธอเป็นคนที่ไม่น่ารัก ไม่มีใครทนอยู่กับเธอได้หรอก แล้วก็มีความโกรธที่พ่อทิ้งเธอไป ตามมาด้วยคู่รัก ไม่ว่าจะเป็นความโกรธ ความรู้สึกแย่กับตัวเอง เวลามันเกิดขึ้น แต่ก่อนเธอก็จมดิ่งอยู่ในอารมณ์ แต่คราวนี้เธออาศัยสติรับมือกับอารมณ์เหล่านี้
เธอได้เห็นมัน ดูมัน ไม่ทำอะไรกับมัน แล้วก็ปล่อยให้มันดับไป เธอก็รู้สึกดีขึ้น แต่ว่าความรู้สึกโกรธ ความรู้สึกเศร้าเสียใจ ความรู้สึกแย่กับตัวเองก็ยังเกิดขึ้นเป็นระยะ ๆ เธอก็มาปฏิบัติธรรมกับแจ็คอยู่เป็นเดือน แบบไปๆ มาๆ
หลังจากที่ปฏิบัติมาได้หลายเดือนแล้ว แจ็คก็บอกว่า ถ้าเธอพร้อม อยากให้เธอย้อนกลับไปถึงเหตุการณ์ในวันนั้น ตอนที่เธออายุ 3 ขวบ แล้วพ่อทิ้งเธอไป ทีแรกเธอก็ไม่กล้า เพราะเป็นความเจ็บปวดที่เป็นบาดแผลฝังลึก แต่ตอนหลังเธอก็คิดว่าพร้อมแล้ว
แล้วเธอก็นั่งหลับตา นึกย้อนไปถึงวันนั้น ตอนที่เธออายุ 3 ขวบวันนั้น เธออยู่บนบันไดชั้นบนสุด แล้วได้ยินเสียงพ่อแม่ทะเลาะกันอย่างรุนแรง หลังจากนั้นก็เห็นพ่อเดินไปที่ประตู เปิดประตู แล้วก็เดินจากไป พ่อไม่คิดแม้แต่จะเหลียวมองมาที่เธอหรือเรียกหาเธอ มันเป็นภาพที่เธอรู้สึกแย่มาก
แจ็คก็ถามว่า ตอนนั้นผู้หญิงตัวน้อย ๆ คนนี้รู้สึกอย่างไร “ฉันรู้สึกแย่มากเลย ฉันรู้สึกว่าฉันต้องทำอะไรผิดอย่างแน่นอน พ่อจึงทิ้งเราไป ตอนนั้นความรู้สึกมันท่วมท้นมากเลยนะ เหมือนกับว่าอารมณ์ที่เคยเก็บกดเอาไว้ ก็พรั่งพรูออกมาท่วมท้นจิตใจ”
แต่เธอก็ตั้งสติได้ แล้วดูอารมณ์ที่เกิดขึ้น ไม่ไปทำอะไรกับอารมณ์นั้น ซึ่งไม่ใช่เรื่องง่าย ถ้าไม่ได้มีสติหรือไม่ได้ฝึกสติมาก่อน ก็คงจะถลำเข้าไปในอารมณ์นั้น หรือไม่ก็โดนอารมณ์นั้นเล่นงานเหมือนกับเรือที่เจอพายุใหญ่ ถ้าเรือไม่มีสมอก็อับปางไปนานแล้ว
แต่ถึงแม้พายุจะรุนแรงอย่างไร สมอก็ยึดเรือไว้ ทำให้เรือไม่อับปาง สมอที่ว่าคือสตินั่นเอง สติช่วยรักษาใจเธอไม่ให้จมดิ่งไปกับอารมณ์ หรือว่าถูกอารมณ์โบยตีเอา ตอนนั้นเธอก็แผ่เมตตาด้วย แผ่เมตตาให้กับตัวเอง แผ่เมตตาให้กับเด็กน้อยคนนั้น แผ่เมตตาให้กับพ่อแม่ ความรู้สึกเธอก็เริ่มดีขึ้น
คราวนี้แจ็คก็เลยบอกเธอว่า ให้เธอลองเปลี่ยนไปเป็นพ่อดู แล้วแจ็คก็ถามเธอว่า ตอนนั้นคุณรู้สึกอย่างไร “ฉันรู้สึกแย่มาก รู้สึกว่าฉันล้มเหลวหมดทุกอย่างเลย ไม่ว่าเรื่องการงาน เรื่องครอบครัว ไม่ว่าความสัมพันธ์กับภรรยา กับลูก มันไม่ได้เรื่องเลยสักอย่าง ตอนนั้นฉันเครียดมากเลย”
แจ็คก็ถามต่อไปว่า “คุณรู้ไหม วันนั้นลูกสาวของคุณ พอลล่าเขาอยู่บนบันไดชั้นบนสุด มองมาที่คุณ” คำตอบคือ “รู้ แต่ว่าฉันไม่สามารถจะมองไปที่พอลล่าได้ ฉันทำไม่ได้ เพราะถ้าขืนทำอย่างนั้น ฉันก็จะไม่สามารถจากบ้านนี้ไปได้เลย เพราะฉันรักพอลล่ามาก ถ้าฉันมองไปที่เธอ ฉันจะออกจากบ้านไปไม่ได้เลย แต่ฉันต้องไป เพราะถ้าไม่ไป ฉันแย่แน่ ๆ เลย”
ตอนนั้นเองพอลล่าได้รับรู้เลยว่า จริง ๆ แล้วพ่อรักเธอ แต่พ่อก็จำเป็นต้องไป ความรู้สึกที่เธอมีต่อพ่อมันเปลี่ยนไปเลย หลังจากที่เธอออกมา จากการย้อนกลับไปยังอดีต เป็นครั้งแรกที่เธอตระหนักว่าพ่อรักเธอ แต่พ่อมีเหตุผลที่จะต้องจากไป และที่พ่อไม่สามารถจะเหลียวมามองเธอได้ ก็เพราะขืนทำอย่างนั้นก็ไม่สามารถจะจากเธอและแม่ไปได้
เพราะว่าพ่อรักเธอเหลือเกิน ตอนนั้นเองที่เธอคลายความโกรธที่เคยมีกับพ่อ รวมทั้งรู้สึกดีกับตัวเองด้วย คลายความโกรธก็เพราะรู้ว่าพ่อรักเธอ รู้สึกดีกับตัวเองก็เพราะว่ามันไม่ใช่ความผิดของฉันที่พ่อจากไป
นับแต่นั้นมา พอลล่าหายหม่นหมอง หายเศร้าโศก ความโกรธแค้นที่เคยมีกับพ่อ และความเกลียดชังตัวเอง มันหายไปเลย อันนี้เรียกว่าเป็นอานิสงส์ของสติโดยแท้ รวมทั้งเมตตาด้วย เพราะถ้าเธอไม่มีสติ พอย้อนนึกไปถึงเหตุการณ์ในวันนั้น เธอจะคุมตัวเองไม่ได้เลย อารมณ์จะท่วมท้นใจ
แต่ธรรมชาติของใจคือว่า แม้จะมีอารมณ์เกิดขึ้นในใจ แต่ถ้าไม่ปล่อยให้มันท่วมท้นใจ มันก็ไม่ทุกข์
คนไปเข้าใจว่าถ้ามีอารมณ์เกิดขึ้นแล้วใจจะทุกข์ ไม่ใช่ มันทุกข์ก็ต่อเมื่อปล่อยให้อารมณ์นั้นมาท่วมท้นใจ เหมือนกับเรือจะอับปางได้ไม่ใช่เพราะน้ำที่ยู่รอบ ๆ เรือ เรือก็อยู่ของมัน ไม่เป็นอะไร แต่ถ้าน้ำทะลักเข้ามาในเรือ เรือถึงจะอับปางล่มได้ อารมณ์เกิดขึ้นในใจ แต่ว่าดูมัน มีสติเป็นผู้ดู ก็ช่วยรักษาใจไม่ให้ทุกข์ได้
กรณีนี้ยังชี้ให้เห็นอีกว่า บางครั้งการปลดล็อกในใจ อาจต้องย้อนกลับไป ย้อนนึกถึงเหตุการณ์ในอดีต เวลาคนเขามีบาดแผลในอดีต หลายคนอาจจะแนะนำว่าลืมมันไปเถอะ อย่าไปนึกถึงมันเลย ปล่อยวางมันเสีย แต่ว่าแจ็คเข้าใจว่าบาดแผลในอดีตมันก็เหมือนกับแผล ถ้าปล่อยให้เรื้อรัง มันก็จะรบกวน แตะเมื่อไหร่ก็เจ็บเมื่อนั้น
ฉะนั้นจะทำให้แผลนี้หาย ต้องกลับไปเยียวยามัน และการเยียวยาบางทีก็เจ็บปวด ต้องไปทำอะไรกับแผล ต้องเอาเนื้อตายออก เอาเสี้ยนออก บางทีก็ต้องใส่ทิงเจอร์หรือว่าเบตาดีน ซึ่งก็แสบ แต่ว่าสุดท้ายมันหาย
เพราะฉะนั้นแจ๊คเลยชวนให้พอลล่าย้อนกลับไปนึกถึงเหตุการณ์ในอดีต ซึ่งก็เสี่ยง เพราะว่าความเจ็บปวดที่ฝังสะสม มันพร้อมที่จะกลับมาทำร้ายจิตใจของพอลล่าได้ แต่อาศัยว่ามีสติ แล้วพอมีสติ ก็เลยทำให้รู้เลยว่า ความจริงไม่ได้เป็นอย่างที่เธอคิด
เธอคิดอยู่ตลอดเวลาว่าพ่อไม่รักเธอ พ่อทิ้งเธอไปเพราะเธอต้องทำอะไรผิดแน่นอน แต่สุดท้ายก็พบว่า จริงๆ พ่อรักเธอ แล้วเธอไม่ได้ทำอะไรผิด แต่ที่พ่อไม่หันมามองเธอ ไม่พูดคุยกับเธอแม้แต่คำเดียว เพราะรู้ว่าขืนทำอย่างนั้น ก็จะทิ้งเธอไปไม่ได้ ถ้าไม่มีสติ การที่จะเห็นสถานการณ์จากมุมมองอื่นก็ยาก โดยเฉพาะการมองสถานการณ์จากมุมมองของพ่อ
เรื่องนี้สรุปก็คือว่า มันเป็นเรื่องที่เธอคิดไปเอง คนเราทุกข์เพราะความคิด แล้วบางครั้งพอเราไปเชื่อความคิด เราก็จมดิ่งอยู่ในความทุกข์ โบยตีตัวเอง แต่ความจริงอาจจะไม่เป็นอย่างที่เราคิดก็ได้ ถ้าไม่มีสติ พอลล่าคงไม่สามารถจะมองเห็นอีกมุมหนึ่งได้ คือมุมของพ่อ
คนเราเวลาเจอเหตุการณ์อะไรแล้วเราตีความไป ถ้าตีความในทางลบ ก็อาจจะสร้างความทุกข์ให้กับตัวเอง แล้วกลายเป็นบาดแผลที่ฝังลึกได้ แต่ถ้าเราสามารถที่จะมองในมุมอื่นได้บ้าง อาจจะพบความจริงก็ได้ว่ามันไม่ได้เป็นอย่างที่เราคิด อันนี้เรียกว่าเป็นเพราะการย้อนกลับไปนึกถึงอดีต แล้วมองมันในอีกมุมหนึ่ง มันก็สามารถที่จะเยียวยาใจได้
มีหลายคนที่เขามีความทุกข์กับประสบการณ์ในอดีต แต่พอเวลาผ่านไป กลับมามองมันใหม่ พบว่าเหตุการณ์นั้นมันให้อะไรกับเขาหลายอย่าง ปรากฏว่าหลุดเลย
อาจารย์ประมวล เพ็งจันทร์ เล่าว่าเคยมีประสบการณ์ที่ไม่ดีกับอินเดีย สมัยที่ไปเรียนปริญญาตรี ปริญญาโท ปริญญาเอกด้วย ตอนนั้นไปในเพศพระ แล้วไปแบบไม่มีประสบการณ์ ไม่มีความรู้อะไรเลย แม้กระทั่งภาษาอังกฤษ แล้วก็พบประสบการณ์ที่แย่มากในอินเดีย คนอินเดียก็หลอกบ้างล้อบ้าง
อาจารย์ประมวลบอกว่า ตอนที่กลับมาเมืองไทยหลังจากได้ปริญญาเอก ก็ไม่คิดจะกลับไปอินเดียแล้ว ประสบการณ์มันเจ็บปวด แต่ผ่านไปหลายปี หลังจากที่ไปเป็นอาจารย์ที่มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ภาควิชาปรัชญา พอมองย้อนกลับไปถึงประสบการณ์ที่อินเดียสมัยยังหนุ่ม พบว่าอินเดียให้อะไรดี ๆ เยอะเลย แม้กระทั่งความทุกข์ความลำบากในเวลานั้น ทำให้ตนนั้นเข้มแข็งเป็นอย่างทุกวันนี้
ปรากฏว่าพอมองกลับไป มันไม่ได้เกิดความคับแค้นเสียใจ มีแต่ความซาบซึ้ง แต่ก่อนนึกถึงที่ไรเจ็บปวดเหมือนกับแตะแผลที่ยังเรื้อรัง แต่พอตอนนี้ เห็นมันอีกมุมหนึ่งว่ามันมีคุณูปการอย่างไรบ้าง พอนึกถึงก็ไม่เจ็บปวดแล้ว มีแต่ความซาบซึ้ง ตอนหลังก็กลับไปอินเดีย เพื่อไปคารวะอินเดีย ประสบการณ์ในอดีตยังเหมือนเดิม แต่มุมมองเปลี่ยนไป
บางคนมีประสบการณ์ที่เจ็บปวดมากตอนเด็ก เพราะว่าพ่อไม่ดูแลแม่ ทิ้งครอบครัว ปล่อยให้ตัวเองลำบาก ต้องทำมาหาเงินเลี้ยงครอบครัวตั้งแต่เล็ก เรียนด้วยหาเงินด้วย แต่ตอนหลังตัวเองกลายเป็นนักธุรกิจใหญ่ พอย้อนกลับไปมองถึงเหตุการณ์ในอดีต ก็ซาบซึ้งว่าความยากลำบากในวัยเด็กทำให้ตนเข้มแข็ง ทำให้รู้จักพึ่งตนเอง
แต่ก่อนเกลียดพ่อมาก ตอนหลังกลายเป็นรักพ่อเลย เพราะถ้าพ่อไม่เป็นอย่างนี้ เขาไม่ได้มาถึงวันนี้ ตอนหลังก็รับพ่อมาดูแลเพราะพ่อป่วยแล้ว ไม่มีความเกลียดชังเลย มีแต่ความรัก ความรู้สึกสำนึกบุญคุณ ตอนพ่อจะตายก็กราบพ่อ บอกพ่อว่า ”ขอบคุณป๊ามาก ขอบคุณที่ป๊าเป็นอย่างนี้ ขอบคุณที่ป๊าเป็นป๊า ทำให้ผมมีวันนี้”
ไม่ได้เจ็บปวดเคียดแค้นพ่อเหมือนตอนยังเด็ก อดีตยังเหมือนเดิม เหตุการณ์ก็ยังไม่ได้เปลี่ยนแปลงอะไร แต่มุมมองเปลี่ยนไป
ถ้าไม่มีสติ มันไม่สามารถที่จะมองในอีกมุมหนึ่งได้ ไม่มีโอกาสที่จะได้เห็นว่า ประสบการณ์ที่เจ็บปวดในอดีตมันมีประโยชน์อย่างไรบ้าง
กรณีพอลล่าก็เหมือนกัน ถ้าเขาไม่มีสติ เขาจะไม่มีทางเห็นเหตุการณ์นั้นในมุมของพ่อได้เลย มันมีแต่ความคิดโจมตี เกลียดชังพ่อ ยิ่งรักพ่อเท่าไหร่ยิ่งเกลียดมากเท่านั้น แล้วโกรธด้วยที่พ่อทิ้งเราไป แต่ในเวลาเดียวกันก็เกลียดตัวเอง โทษตัวเองว่าเราต้องแย่มากๆ พ่อถึงทิ้งเราไป
ความรู้สึกแบบนี้มันทำร้ายจิตใจของเธอ แต่แล้วเธอก็สามารถที่จะหลุดจากความทุกข์นี้ได้ เพราะเปลี่ยนมุมมอง แต่ก่อนทุกข์เพราะความคิด แต่ถ้าคิดดี คิดเป็น หรือมองเป็น มันก็ทำให้หลุดจากความทุกข์ได้เหมือนกัน แต่จะมองเป็นได้ ต้องมีสติรองรับ ไม่อย่างนั้นความรู้สึกเดิม ๆ ก็จะหวนกลับมา แล้วทำให้รู้สึกย่ำแย่
เรื่องนี้ชี้ให้เห็นว่า คนเราเวลามีความทุกข์จากเหตุการณ์ในอดีต การที่จะย้อนกลับไปในเหตุการณ์ในอดีต ไม่ใช่เป็นเรื่องที่เปล่าประโยชน์อย่างที่หลายคนบอกว่า ย้อนกลับไปทำไม มันผ่านไปแล้ว ลืมไปเถอะ
การลืมมันไม่ช่วยเพราะอย่างไรก็ไม่ลืม แต่ว่าพอกลับไปมองมันในมุมใหม่ มันหลุดได้ อันนี้ก็ถือว่าเป็นกุศโลบายอย่างหนึ่งของแจ็ค ซึ่งเขาก็เป็นอาจารย์กรรมฐานที่เข้าใจ
แล้วที่น่าสนใจอย่างหนึ่งก็คือ เขาไม่เคยแนะนำสั่งสอนเลยว่า พอลล่าควรจะวางใจอย่างไร เขามีแต่ถามว่า เธอรู้สึกอย่างไร เธอเป็นมานานแค่ไหน แล้วที่เขาช่วยพอลล่าได้ คือให้พอลล่าลองเป็นพ่อดู แล้วรู้สึกอย่างไร รู้ไหมว่าตอนนั้นพอลล่า ลูกสาวของคุณเขายืนอยู่ข้างบน เขามองคุณอยู่
มีแต่คำถาม แต่เป็นคำถามที่พาให้พอลล่าได้พบคำตอบ แล้วเห็นทางออกจากความทุกข์ได้ บ่อยครั้งเราคิดว่าจะต้องสอน ต้องชี้แนะ แต่บางทีเพียงแค่ตั้งคำถามที่ดี ตั้งคำถามถูก ตั้งคำถามเป็น ก็สามารถช่วยปลดล็อกคนที่เขามีความทุกข์ได้
นี่เป็นเรื่องที่หลายคนสามารถจะนำมาใช้กับตัวเองได้ การย้อนกลับไปมองถึงความเจ็บปวดในอดีต ถ้ามองเป็น มองถูก ย่อมมีโยนิโสมนสิการ ก็ช่วยทำให้หลุดจากทุกข์ได้ แต่ทั้งหมดนี้ก็ต้องมีสติเป็นตัวกำกับ
ถ้าไม่มีสติเป็นตัวกำกับแล้ว มันก็ตกร่องเดิม โบยตีตัวเอง เกลียดชังตัวเอง หรือโกรธคนนั้นคนนี้ ยิ่งรักก็ยิ่งโกรธ เพราะว่าคนที่ตัวเองรัก เขาไม่ใส่ใจเราเลย หรือว่าเขาไม่เป็นไปอย่างที่เราคิด แต่พอมองกลับไป เห็นว่าเขามีเหตุผลที่เขาไม่ทำอย่างที่เราคิด แล้วที่เราคิดก็ไม่ใช่ว่าถูกต้องเสมอไป.