พระอาจารย์ไพศาล วิสาโล วัดป่าสุคะโต แสดงธรรมก่อนฉันเช้าวันที่ 11 สิงหาคม 2567
เมื่อ 30 กว่าปีก่อนที่ประเทศจีนมีชายชราคนหนึ่งแกมีอาชีพลากรถ ไม่ใช่ขี่สามล้อถีบ การลากรถนี้ก็เป็นพาหนะที่คนจีนนิยมมานาน ก่อนที่จะเปลี่ยนมาเป็นรถแท็กซี่หรือว่ารถเก๋ง ชายชราคนนี้ชื่อไป๋หลี่
แกลากรถมาตลอดชีวิตเลยก็ว่าได้ จนกระทั่งอายุ 74 ปี ก็คิดว่าแก่แล้วก็เลยคิดจะเกษียณ กลับไปบ้านเกิดซึ่งอยู่ห่างจากเมืองเทียนจินหรือเทียนสินก็หลายร้อยกิโล ไปถึงบ้านเกิดนี้ตั้งใจว่าจะเลิกแล้วอาชีพลากรถเพราะว่ามันเหนื่อยมาก
แต่ว่าวันหนึ่งไปเห็นเด็กอายุยังไม่มากเลย ทำงานในไร่ทำงานในนา ก็ไปถามว่าทำไมถึงไม่เรียนหนังสือ เด็กตอบว่าไม่มีเงินเรียน ก็เลยต้องช่วยพ่อแม่ทำนาหรือไม่ก็รับจ้างทำนา ไป๋หลี่แกเห็นอย่างนี้ก็รู้สึกว่าอยู่เฉยไม่ได้แล้ว เด็กไม่มีเงินเรียนหนังสือและก็เยอะด้วย แกก็เลยเปลี่ยนใจกลับไปเมืองเทียนจินเพื่อลากรถต่อ
แกลากรถทำไม? ก็เพื่อจะได้เก็บเงินเอาไว้เป็นทุนการศึกษาให้กับเด็กเหล่านี้ เด็กที่ยากจน รายได้ก็ไม่ได้เยอะ แกพยายามอดออม ห้องพักราคาถูกๆ อาหารก็กินอย่างประหยัด เสื้อผ้าก็เก็บจากขยะ ใส่เสื้อผ้ามือสองนั่นเอง คนจีนเริ่มมีเงินแล้ว เสื้อผ้าที่ใช้แล้วบางทียังใช้ได้ดีอยู่เลยก็ทิ้งแล้วเพราะอยากได้เสื้อตัวใหม่ ปูไป๋ไปเก็บเสื้อผ้าเหล่านี้มาใช้
รายจ่ายแกน้อยมาก แกจะเก็บเงินที่เป็นรายได้จากการลากรถไว้เป็นทุนการศึกษา แล้วไปมอบให้กับโรงเรียน แกทำอย่างนี้ถึง 16 ปี จนกระทั่งพออายุ 90 แล้ววันหนึ่งแกก็ไปที่โรงเรียนมัธยม มอบทุนการศึกษาให้กับนักเรียนผ่านครู บอกว่าไม่ไหวแล้ว ลากรถต่อไปไม่ไหวแล้ว ขอยุติแต่เพียงเท่านี้
ถึงตอนนี้แกหยุดลากรถตอนอายุ 90 แล้ว ก็ปรากฏว่าที่ผ่านมาแกสามารถหาเงินและส่งเสียเป็นทุนการศึกษาของนักเรียน 300 คน รวมเป็นเงินก็ 350,000 หยวน คิดเป็นเงินไทยก็ประมาณ 1,700,000 บาท ไม่น้อยเลยสำหรับเมืองจีนเมื่อ 20 ปีที่แล้ว โรงเรียนและนักเรียนนี้ซาบซึ้งประทับใจปูไป๋หลี่มาก
แกอยู่จนถึงอายุ 94 ก็คือ 4 ปีหลังจากที่เกษียณแล้วก็เสียชีวิต นักเรียนที่ได้ทุนการศึกษาของแกนี้ หลายคนก็ได้ดิบได้ดี ไม่ต้องไปทำงานอาบเหงื่อต่างน้ำ ที่เป็นเศรษฐีก็ไม่น้อย อันนี้เพราะอะไร เพราะว่ามีโอกาสได้รับทุนการศึกษาจากปู่ไป๋หลี่
แกเป็นบุคคลที่น่าทึ่งมาก ทั้ง ๆที่ยากจน แต่ว่าแกสามารถที่จะช่วยให้เด็กยากจนถึง 300 คนลืมตาอ้าปากได้ การที่แกต้องอยู่แบบกระเบียดกระเสียรนี้ ก็ถือว่าไม่ใช่เรื่องง่ายเลยเพราะว่าเงินที่แกอดออมมาได้จากการลากรถนี้ ก็มากพอที่แกจะอยู่อย่างสบายได้ในบั้นปลายชีวิต แต่แกกลับมาช่วยเหลือเด็กที่ลำบากยากจน
การอยู่อย่างประหยัดนี้ว่ายากแล้วนะ แต่ที่ยากกว่านั้นคือการลากรถ ของคนอายุ 70 กว่า แล้วลากมาจนกระทั่งวัย 80 เกือบๆ 90 นี้ก็คงเหนื่อยไม่ใช่น้อยเลยนะ แต่ว่าลุงไป๋แกคงคิดว่าความทุกข์ของแกเป็นเรื่องเล็กนะ เพราะอะไร เพราะแกนึกถึงความทุกข์ของเด็ก เด็กนี้ถ้าไม่ได้เรียนหนังสือไม่ใช่ลำบากเฉพาะตอนทำงานในไร่นาเท่านั้น โตขึ้นก็ต้องไปเป็นกรรมกร และก็คงจะมีชีวิตที่ลำบากเหมือนแก
แกก็รู้ดีว่าชีวิตของแกลำบาก ที่ลำบากก็เพราะว่าแกไม่มีความรู้ ไม่มีความสามารถ พูดง่าย ๆ ก็คือไม่มีการศึกษาก็เลยต้อง ขายแรงงานลากรถ แกรู้จักมองนะคือ ในเมื่อฉันมีชีวิตที่ลำบากแล้ว ก็อย่าให้คนอื่นต้องลำบากเหมือนฉันเลย คนบางคนพอลำบากก็จะตัดพ้อต่อว่าชะตากรรม ทำไมฉันถึงต้องมาลำบากแบบนี้ ทำไมฉันถึงต้องเกิดมาจน
แต่ลุงไป๋แกไม่มีแบบนี้เลย กลับมองว่าอย่าให้คนอื่นต้องมาลำบากเหมือนเรา และที่คนอื่นเขาจะลำบากก็เพราะว่าเขาไม่มีการศึกษาเหมือนกับที่เราเป็น เพราะฉะนั้น แกก็เลยพยายามส่งเสริมการศึกษาให้กับเด็ก จะได้ไม่ต้องมาลำบากเหมือนแก
เวลานึกถึงคนที่เดือดร้อนนี้ ข้อดีอย่างหนึ่งคือ มันทำให้ความทุกข์ของเราเล็กลง ความทุกข์ของปู่ไป๋เยอะนะแต่ว่ามันกลายเป็นเรื่องเล็กเพราะนึกถึงคนอื่น นึกถึงเด็ก นึกถึงเยาวชน และก็เอาความทุกข์ของตัวเองนี้มาเป็นบทเรียนว่า ถ้าเราทุกข์เราลำบากมากก็อย่าให้คนอื่นต้องมาลำบากเหมือนเรา อะไรที่เราช่วยได้เพื่อให้เขาลำบากน้อยกว่าเรา หรืออะไรที่ทำให้เขามีชีวิตที่สุขสบาย เราควรช่วย
และที่น่าสนใจก็คือว่า แกให้ความสำคัญกับเรื่องการศึกษา ถ้าเป็นคนอื่นก็อาจจะเอาเงินไปทำบุญให้วัด ถวายพระ ต่อไปชาติหน้าจะได้สุขสบาย แต่แกไม่คิดแบบนี้เลย แทนที่จะบริจาคเงินให้วัด แกกลับให้ความสำคัญกับเรื่องการศึกษา
เมืองไทยเราเหล่านี้ถ้าหากว่า คนไทยเราไม่ว่ารวยหรือจนเห็นความสำคัญของการศึกษา ประเทศเราจะก้าวหน้าไปไกลกว่านี้เยอะ แต่เงินที่คนบริจาคนี้จำนวนไม่น้อยนี้หมดไปกับเรื่องการสร้างถาวรวัตถุ ศาสนาก็เป็นสิ่งสำคัญนะ แต่พอไปเน้นเรื่องศาสนสถาน ศาสนวัตถุ เช่น สร้างโบสถ์ สร้างศาลา หรือเวลาจะสนใจเรื่องการศึกษา ก็คิดแต่จะสร้างโรงเรียนที่เป็นตึกเป็นอาคาร แต่ไม่ได้คิดถึงเรื่องการสร้างคน
เพราะฉะนั้น คนเรานี้นะเมื่ออยากจะทำความดี ให้ใช้เงินที่มีนี้ส่งเสริม สร้างสรรค์ด้วยการสร้างคน ส่งเสริมการศึกษา มันก็เสี่ยงนะเพราะว่าทุนการศึกษาที่เราให้ไปนี้ ไม่รู้ว่าคนที่ได้รับนี้เขาจะเอาไปทำอะไร ไม่เหมือนกับการสร้างโบสถ์ สร้างวิหาร สร้างอาคารนี้มันผลงานชัดเจน คนบริจาคนี้ก็ปลื้มใจนะเห็นผลงานชัดเจน
แต่การให้ทุนการศึกษาหรือการส่งเสริมการศึกษานี้ ผลงานเห็นไม่ชัดเจน เพราะเป็นเรื่องนามธรรม และกว่าจะเห็นผลว่าคนที่เราช่วยเหลือนี้เขากลายเป็นคนที่ดีมีคุณธรรม มีอนาคตนี้ก็อาจจะต้องใช้เวลา 10 ปี 20 ปี แต่ว่ามันคุ้มนะ และถ้าเรามีความศรัทธาในมนุษย์นี้ เราก็ช่วยเหลือให้เขามีโอกาสเรียนรู้ได้มากขึ้น มีการศึกษาได้ดีขึ้น เขาก็จะกลายเป็นคนดีมีคุณธรรมและเป็นอนาคตของบ้านเมือง
คนไทยเรานี้ถ้าหากว่าเรามาให้ความสำคัญกับเรื่องของการส่งเสริมการศึกษา การสร้างคนมากกว่าการสร้างถาวรวัตถุ หรือการสร้างศาสนสถาน ศาสนอาคารนี้ เชื่อว่าเมืองไทยจะเจริญก้าวหน้ากว่านี้ ที่จริงแม้กระทั่งการศึกษาของพระนี้ ญาติโยมก็สนใจน้อยนะ เวลาพูดถึงการศึกษาของพระเณรนี้คนไม่ค่อยบริจาค หรือบริจาคก็น้อยกว่าการสร้างโบสถ์สร้างวิหาร อันนี้ก็เพราะเราไปให้ความสำคัญกับเรื่องของวัตถุรูปธรรม เพราะมันเห็นผลชัดเจน ให้วันนี้เดี๋ยวปีหน้าก็เห็นผลแล้ว ก็คืออาคาร โบสถ์
แต่สร้างคนนี้มันใช้เวลามาก แล้วก็ไม่รู้เลยนะว่าเงินที่ให้ไปนี้เขาจะเอาไปซื้อโทรศัพท์มือถือ เขาอาจจะไปเล่นการพนันหรือเปล่า มันต้องอาศัยศรัทธาในคนมาก
แต่ถ้าศรัทธาในคนได้ถูกต้องและมีการดูแลติดตาม สิ่งที่ให้ไปหรือสิ่งที่บริจาคนี้มันมีผลมากเลย อาคาร ถาวรวัตถุสร้างไปไม่มีคนใช้ แต่สร้างคนนี้นะผลกระทบ หรือว่าอานิสงส์นี้มันมากมายเหลือประมาณ.