พระอาจารย์ไพศาล วิสาโล วัดป่าสุคะโต แสดงธรรมก่อนฉันเช้าวันที่ 9 สิงหาคม 2567
เมืองใหญ่ๆหลายเมืองรวมทั้งกรุงเทพฯด้วย ตรงสี่แยกมักจะมีคนข้ามถนนกันมาก หลายเมืองก็จะทำทางม้าลายให้คนเดินข้าม หลายเมืองทำทางม้าลายยังไม่พอยังมีสัญญาณไฟอยู่ถนนตรงข้าม เพื่อบอกว่าจะข้ามถนนได้เมื่อไร สัญญาณไฟก็มีเขียวกับแดง
แต่ฮ่องกงนี่แปลกไม่ได้มีแต่ทางม้าลาย ไม่ได้มีแต่สัญญาณไฟตรงถนนด้านตรงข้าม แต่ยังมีการทำไฟสาดส่องมาที่พื้นตรงทางม้าลายด้วย โดยเฉพาะสีแดง ทำไมจึงเอาไฟมาสาดตรงพื้นถนน
เพราะเดี๋ยวนี้คนจำนวนมากเอาแต่ก้มหน้า ก้มหน้าดูอะไร “ดูมือถือ” ขนาดจะข้ามถนนก็ยังดูโทรศัพท์มือถือ ยิ่งรอรถ รอสัญญาณไฟด้วยแล้ว บางคนก็รอไม่ไหวก็จับโทรศัพท์มือถือมาดู คราวนี้เกิดไม่เห็นสัญญาณไฟโดยเฉพาะสีแดง ถ้าเดินแบบไม่ดูตาม้าตาเรือก็จะโดนรถชนได้ เขาจึงแก้ปัญหา
ต่อไปก็คงจะมีหลายเมืองทำแบบนี้ เพราะสัญญาณไฟที่อยู่ตรงข้ามหรือถนนตรงข้ามคงจะไม่ค่อยมีประโยชน์แล้วเพราะคนไม่ค่อยดู คนส่วนใหญ่เอาแต่ก้มหน้าดูโทรศัพท์มือถือ คงเป็นเพราะว่ามีหลายคนโดนรถชนตอนข้ามถนน ทั้งๆที่สัญญาณไฟบอกไว้แล้วว่าห้ามเดิน สัญญาณไฟสีแดง แต่คนเดินก็ยังไม่เห็น ที่ไม่เห็นเพราะว่าก้มหน้า ก้มหน้าทำอะไร ก้มหน้าไถโทรศัพท์ ดูโทรศัพท์
เดี๋ยวนี้เป็นกันขนาดนี้เลย ติดโทรศัพท์มากแม้แต่จะข้ามถนนก็ไม่สนใจดูไฟจราจรบนถนนด้านตรงข้าม เดินแบบไม่รู้อีโหน่อีเหน่หรือเดินแบบไม่สนใจ ซึ่งเป็นกันมาก โทรศัพท์มือถือเดี๋ยวนี้ทำให้คนขาดสติมากขึ้น
ปกติทุกวันนี้คนในยุคปัจจุบันสติก็ตกๆหล่นๆอยู่แล้ว ยิ่งมาหมกมุ่นกับโทรศัพท์มือถือเอาแต่ก้มหน้า สติก็ยิ่งหาย เรียกว่าเป็นตัวดูดสติเลย โทรศัพท์มือถือนี่เป็นตัวดูดสติ ใครใช้โทรศัพท์มือถือทีแรกอาจจะคิดว่าดูไม่นานแต่เผลอแป๊บเดียวเป็นชั่วโมงไปแล้ว ลืมตัว ลืมเวลา ลืมนัด ลืมหมาย เดี๋ยวนี้หลายคนเวลาทำอะไรก็ดูโทรศัพท์ไปด้วย
มีพระรูปหนึ่งกวาดพื้นศาลามือขวาถือไม้กวาดกวาดฝุ่น ส่วนมือซ้ายถือโทรศัพท์มือถือ ทั้งที่กวาดพื้นแต่ตาดูที่ไหน ตาดูที่โทรศัพท์มือถือ ก็ดูเหมือนไม่มีอะไร แต่ว่าพอกวาดมาถึงอาสนะของหลวงพ่อเจ้าอาวาสซึ่งอยู่หน้าโต๊ะหมู่บูชา เห็นมีหนังสือหลายเล่มวางไม่เป็นระเบียบ
พระรูปนี้ก็ปรารถนาดีอยากจะจัดหนังสือให้เป็นระเบียบ แต่จะทำอย่างไรในเมื่อมือไม่ว่าง มือซ้ายถือโทรศัพท์ มือขวาถือไม้กวาด จะจัดหนังสือได้ก็ต้องมีมือที่ว่างสักมือหนึ่ง ก็เอามือที่ถือไม้กวาดนั่นเอง เอาไม้กวาดมาหนีบไว้รักแร้ด้านซ้าย แล้วจัดหนังสือ ก็คงจัดแบบเร็วๆ เพราะว่าอยากจะกลับมาดูโทรศัพท์ ดูข้อความ ดูเพลง ดูหนังทางโทรศัพท์
พอจัดเสร็จลุกขึ้นมางงไม้กวาดหายไปไหน มองไปรอบๆก็ไม่เห็นไม้กวาด งงว่าเมื่อกี้เพิ่งกวาดอยู่หยกๆ เกิดอะไรขึ้น ไม้กวาดหายไปไหน ก็เลยไปหาไม้กวาดอันใหม่ ลองคิดดู ปรากฏว่ารักแร้ที่หนีบไม้กวาดอันแรกก็เกิดคลายตัว ไม้กวาดก็เลยตกลงมากระทบกับพื้นไม้ พระรูปนั้นก็ตกใจ เห็นไม้กวาดก็ตกใจ เอ๊ะ ไม้กวาดมาได้ยังไง
มองไปที่เพดานมีใครทิ้งไม้กวาดลงมาหรือเปล่า ผีหรือเปล่า คราวนี้เริ่มเหลียวมองรอบๆแล้ว สงสัยว่าเป็นผีหรือเปล่า เมื่อกี้ไม้กวาดหายไป ตอนนี้ไม้กวาดกลับมาแล้ว กระแทกพื้นดังเลย ไม่รู้เลยว่าที่ไม้กวาดที่หายไปนั้นมันไม่ได้หายไปไหนหรอกอยู่ที่รักแร้ข้างซ้ายนั่นเอง
เรื่องนี้บังเอิญมีกล้องวงจรปิดถ่ายภาพเอาไว้จึงได้รู้ว่าจริงๆแล้วไม้กวาดไม่ได้หายไปไหน แต่อยู่ใต้รักแร้ของพระรูปนั้นนั่นเอง ยังดีที่ไม่ได้มีอะไรเสียหายมาก แต่ก็ทำให้พระรูปนี้ตกใจ
หลายคนก็คงจะเป็นหรือเจอประสบการณ์คล้ายๆกัน ทำอะไรอยู่ก็ดูโทรศัพท์ไปด้วย แล้วก็หาของไม่เจอ ของหายไปไหน แต่บางรายก็อาจจะเจอปัญหาหนักกว่านี้
มีแม่ลูกอ่อนคนหนึ่งในเมืองนอกจะออกไปซื้อของที่ห้างสรรพสินค้าไม่ไกลนักสามารถเดินได้ แต่ว่าลูกยังเล็กไม่ถึงขวบจะทิ้งลูกไว้ที่บ้านคนเดียวก็ไม่ได้ก็ต้องเอาลูกไปด้วย ก็เอาลูกใส่รถเข็นและตัวเองก็เข็นรถไปที่ร้าน ระหว่างที่เข็นรถมือขวาก็เข็นรถมือซ้ายก็จับโทรศัพท์ ดูมือถือไม่สนใจทางข้างหน้า
ปรากฏว่ามีฟุตบาทอยู่ช่วงหนึ่งที่ไม่ค่อยเรียบเท่าไหร่ แต่ยกระดับสูงขึ้นมานิดหน่อยเพียงแค่ 1 เซนต์หรือ 2 เซนต์ แต่เนื่องจากเข็นรถโดยที่ไม่รู้ไม่ระวัง พอเจอทางที่ยกระดับนิดหน่อยก็เกิดการกระแทก รถกระแทกกับขอบที่ยกระดับขึ้นมา แม้จะเพียงแค่ 1 หรือ 2 เซนต์ แต่ว่าถ้าไม่เบรคก็เกิดการสะดุดกระเทือนได้ ปรากฏว่ารถถึงกับคว่ำ เด็กก็ตกลงมาที่พื้นร้องไห้ แต่ดีที่ไม่เป็นอะไรมาก ฟกช้ำเล็กน้อย
แม่ตกใจและโมโห โมโหอะไร โมโหเทศบาลที่ปูถนนไม่เรียบจะฟ้องเทศบาล แต่ที่จริงแล้วน่าจะโทษตัวเองมากกว่า ว่าไม่ดูตาม้าตาเรือ เพราะว่าตาดูแต่โทรศัพท์มือถือ พาลูกออกไปข้างนอกถ้ามีสติอยู่กับเนื้อกับตัวก็จะไม่มีอะไรเกิดขึ้นหรอก แต่นี่ดูโทรศัพท์ไปด้วย
อย่างที่บอกโทรศัพท์เป็นตัวดูดสติ ดูดความรู้สึกตัว ดูโทรศัพท์แป๊บเดียวก็ขาดสติแล้ว ลืมตัวว่ากำลังทำอะไรอยู่ ยังดีที่เด็กไม่เป็นอะไรมาก แต่ถ้าเข็นเด็กข้ามถนน แม้จะข้ามทางม้าลายแต่ว่าตาไม่ได้ดูสัญญาณไฟไม่ได้ดูว่าไฟเขียวหรือยัง ไม่ได้ดูว่าถนนโล่งไหม ที่ไม่ได้ดูเพราะว่าตาดูแต่โทรศัพท์มือถือ เข็นรถข้ามถนนอาจจะเกิดอันตรายได้ อาจจะลำบากเดือดร้อนทั้งแม่และลูก
เรื่องแบบนี้เกิดขึ้นบ่อยอย่างที่เราทราบ ขับรถไปด้วยดูโทรศัพท์มือถือไปด้วย แล้วเกิดอุบัติเหตุ ชนคนบ้างหรือชนรถด้วยกันบ้าง ฉะนั้นเวลาเราใช้โทรศัพท์มือถือจึงต้องระวังเตือนตัวเองอยู่เสมอว่า มันคือตัวดูดสติอย่างดีและมีประสิทธิภาพ
แต่ก่อนเรามีเครื่องดูดฝุ่น เรามีเครื่องสูบน้ำ แต่พวกนี้ไม่ค่อยมีโทษเท่าไร มีประโยชน์ แต่เดี๋ยวนี้เรามีเครื่องดูดสติที่อยู่ในมือเรานี่แหละ และมันจะดูดสติเราจนเกิดโทษได้ ถ้าหากว่าเราทำอะไร 2 อย่างพร้อมกัน
ดูมือถือไปด้วยเข็นลูกไปด้วย ดูมือถือไปด้วยขับรถไปด้วย ดูมือถือไปด้วยกวาดบ้านไปด้วย การทำ 2 อย่างพร้อมกันนั้นแต่ก่อนก็มีโทษ แต่โทษไม่มาก แต่เดี๋ยวนี้พอเราทำ 2 อย่างแล้ว อย่างหนึ่งคือการดูโทรศัพท์มือถือ เราจะขาดสติ ขาดความรู้สึกตัว แล้วก็ทำอะไรพลั้งพลาดได้ง่าย
เพราะฉะนั้นเราจึงต้องระวังเวลาใช้โทรศัพท์มือถือ ต้องระวังว่านี่คือตัวดูดสติ และขณะเดียวกันเวลาทำอะไรก็พยายามทำทีละอย่าง อย่าทำ 2 อย่างพร้อมกัน กินข้าวไปด้วยดูโทรศัพท์มือถือไปด้วย ทำ 2 อย่างพร้อมกันนั้นจะสร้างนิสัยทำให้เราวางโทรศัพท์ไม่เป็น
ถ้าไม่รู้จักวางโทรศัพท์ ต่อไปอาจจะเกิดโทษได้เพราะเจ้าตัวดูดสตินี่สามารถจะทำให้เราเกิดปัญหา และตัวเราเองเกิดปัญหาไม่พอบางทีคนอื่น คนที่เรารักพลอยเดือดร้อนไปด้วย.