พระอาจารย์ไพศาล วิสาโล วัดป่าสุคะโต แสดงธรรมก่อนฉันเช้าวันที่ 2 สิงหาคม 2567
เศรษฐีคนหนึ่งเดินชมทัศนียภาพ ทอดน่องไปตามริมแม่น้ำสายหนึ่งแถวซานฟรานซิสโก พอเดินกลับไปถึงที่พักคือบ้านที่ไม่ไกล ปรากฏว่ากระเป๋าเงินหาย ผู้ช่วยซึ่งเดินมาด้วยกันก็บอกเศรษฐีคนนี้ว่า “สงสัยกระเป๋าเงินคงจะตกตอนที่เดินผ่านย่านคนจน สงสัยจะไม่ได้คืนแล้วกระมัง”
เศรษฐีก็บอกว่า “คอยอีกหน่อย” เพราะว่าในกระเป๋ามีนามบัตรของเขาและมีเบอร์โทรศัพท์อยู่ด้วย คอยไปเกือบ 2 ชั่วโมงก็ยังไม่มีใครติดต่อมา ลูกน้องจึงบอกว่า “สงสัยชวดแล้ว” เพราะว่าคนที่เก็บได้ ถ้าเป็นคนแถวนั้นซึ่งเป็นย่านคนจนเขาก็ไม่คิดจะคืนเงินหรอก และถ้าคิดจะคืนเงินจริงๆก็ควรจะโทรมาตั้งแต่ก่อนหน้านี้แล้ว ไม่ใช่รอถึง 2 ชั่วโมง เศรษฐีก็บอกว่า “คอยอีกหน่อย”
ปรากฏว่าจนค่ำถึงค่อยมีโทรศัพท์มา คนที่โทรมาก็คือคนที่เก็บกระเป๋าเงินได้และบอกว่าช่วยมาที่จุดนี้หน่อยจะคืนเงินให้ ผู้ช่วยบอกว่า “สงสัยจะเป็นกับดักหรือเปล่า” ขืนไปตรงนั้นอาจจะโดนรีดไถเงินเพิ่มก็ได้ แต่เศรษฐีก็บอกว่า “ไม่มีอะไรหรอก”
แล้วก็นั่งรถไปกับลูกน้องไปที่จุดที่ว่า ซึ่งก็เป็นบริเวณที่อยู่ใกล้กับย่านคนจนตรงกับที่ลูกน้องบอกว่าสงสัยกระเป๋าเงินคงจะตกแถวนั้น พอไปถึงจุดนัดพบปรากฏว่าเจอเด็กชายแต่งตัวซอมซ่อโผล่ออกมา แล้วก็ยื่นกระเป๋าเงินให้
ผู้ช่วยของเศรษฐีก็รับกระเป๋านั้นแล้วนับเงิน ปรากฏว่าเงินครบ สักพักเด็กคนนั้นก็บอกว่า “ผมขออย่างหนึ่งได้ไหมครับ อยากจะขอเงินหน่อย” ลูกน้องเศรษฐีก็เลยบอกว่า “ว่าแล้ว เขาจะต้องหวังผลประโยชน์อะไรสักอย่าง” แต่เศรษฐีก็พูดตัดบท ถามเด็กคนนี้ว่า “ต้องการเงินเท่าไหร่”
เด็กบอก “1 ดอลล่าร์ครับ” แล้วก็อธิบายว่า “ตอนที่ผมเจอกระเป๋าเงินผมก็พยายามหาทางคืนเจ้าของ กว่าจะหาที่โทรศัพท์สาธารณะได้ก็นาน แต่ว่าตอนนั้นผมไม่มีเงินเลยสักแดง ผมก็เลยไปหาเพื่อนและขอยืมเงิน 1 ดอลล่าร์เพื่อที่จะได้ไปโทรศัพท์สาธารณะ บอกกับเจ้าของกระเป๋า ตอนนี้ผมอยากจะได้เงินคืนเพื่อนที่ผมยืมเงินเอาไว้”
เศรษฐียินดีมากและเกิดความซาบซึ้งในความซื่อสัตย์สุจริตของเด็กคนนี้มาก จึงทำบุญด้วยการสร้างโรงเรียนให้กับเด็กยากจนในถิ่นสลัมนี้ ไม่ได้ให้เงินเป็นรางวัลกับเด็กแต่ว่าส่งเสริมการศึกษาของเด็กแถวนั้นแทน
เรื่องนี้น่าสนใจเพราะว่า ตอนที่เงินหายและเชื่อว่าหายแถวย่านคนจน ผู้ช่วยของเศรษฐีหรือลูกน้องบอกว่าไม่มีทางได้เงินคืนหรอก พวกนี้เขาจนได้เงินไปแล้วจะคืนได้อย่างไร ขนาดเด็กเก็บเงินได้โทรให้มารับเงิน รับกระเป๋าเงิน ลูกน้องก็ยังคิดว่าเป็นแผนของคนที่เก็บเงินได้ เพราะว่าพวกคนจนนั้นอยากได้เงินทั้งนั้น
สุดท้ายก็กลายเป็นว่าจริงๆแล้ว เด็กที่เก็บเงินได้ ที่ขอเงินนั้นไม่ใช่เอามาเป็นรางวัลเพราะความโลภ แต่เพราะว่าตัวเองติดเงินเขาไว้ และที่ติดเงินก็เพื่อจะได้มีเงินมาโทรศัพท์แจ้งให้กับเศรษฐีซึ่งเป็นเจ้าของเงินทราบ ยากจนขนาดไม่มีเงินค่าโทรศัพท์แต่ก็ยังขวนขวายที่จะหาทางคืนเงินโดยไม่คิดจะเอาเงินที่เก็บได้ไปสักสลึงหรือสตางค์เดียว ถ้าเป็นเงินฝรั่งคือไม่เอาหรือยักยอกแม้แต่เซ็นต์เดียว
เรื่องนี้ช่วยเตือนใจเราว่า คนเราไม่ได้เป็นไปอย่างที่คิดเสมอไป เวลานึกถึงคนจนเราก็มักจะมองว่าพวกนี้เห็นแก่เงินหวังผลประโยชน์ แต่เศรษฐีเป็นคนที่มีศรัทธาในมนุษย์ แกเชื่อว่าจะเป็นคนรวยหรือคนจนย่อมมีคนดีอยู่ เพราะฉะนั้นถึงแม้จะไม่ได้ข่าวคราว ไม่ได้รับโทรศัพท์เป็นเวลาหลายชั่วโมง แกก็ยังคิดว่าคอยอีกสักหน่อยคนที่เขาเก็บกระเป๋าเงินได้เขาคงมีเหตุผลที่ทำให้เขาไม่รีบโทรมา ซึ่งก็เป็นจริงเพราะคนที่เก็บเงินได้เป็นเด็กยากจนไม่มีเงินแม้กระทั่งค่าโทรศัพท์
เมื่อหลายปีก่อนมีข่าวทาง Facebook ที่เมืองไทยนี่เอง มีผู้ชายคนหนึ่งทำกระเป๋าสะพายหาย สงสัยไปลืมไว้ที่ห้องน้ำ ในกระเป๋ามีเงินเป็นแสนและมีพระเครื่อง มีสร้อยทองรวมแล้วเป็นแสน เขาร้อนใจมากตามหาแต่ไม่เจอ สุดท้ายปรากฎว่ามีเด็กวัยรุ่นคนหนึ่งเจอ
เด็กคนนี้ยังเรียนมัธยมอยู่แต่มารับจ้างเป็นพนักงานชั่วคราวของร้านหนึ่งในห้างสรรพสินค้าตรงที่ผู้ชายคนนั้นทำกระเป๋าเงินหาย ผู้ชายคนนั้นก็ดีใจที่ได้เงินหลายแสนคืนและตามข่าวก็บอกว่าเจ้าของเงินก็ให้เงินแก่เด็กวัยรุ่นคนนี้ 100 บาท ปรากฏว่าคนรุมถล่มเจ้าของเงินว่ารวยเสียเปล่าแต่ยังงก เขาอุตส่าห์คืนเงินให้หลายแสน กลับตอบแทนเขาด้วยเงินแค่ 100 บาท เศษเงินเท่านั้นเอง ใครๆก็รุมถล่มแบบนี้
จนกระทั่งในที่สุดแม่ของเด็กต้องมาอธิบายว่า จริงๆแล้วเจ้าของเงินอยากจะให้มากกว่านั้น เป็นพัน หลายพันด้วย แต่ว่าแม่ห้ามเอาไว้ว่าอยากให้ลูกทำความดีโดยที่ไม่หวังผลตอบแทน ถ้าให้เงินเยอะๆแบบนี้ต่อไปลูกก็จะหวังรางวัล ทำดีก็หวังรางวัล ไม่อยากให้เจ้าของเงินตอบแทนแก่เด็กวัยรุ่นคนนั้นซึ่งเป็นลูกของตัว
แต่ว่าเจ้าของเงินก็ยังยืนกรานจะให้ แม่จึงบอกว่า ถ้าจะให้ก็ให้สัก 100 ก็พอ พออธิบายเช่นนี้คนก็เข้าใจว่าที่จริงไปหลงคิดว่าผู้ชายคนนั้นซึ่งเป็นคนรวยงกเงิน เห็นแก่ตัว เห็นแก่เงิน แต่แท้จริงไม่ใช่ เรื่องนี้ก็สอนเราเหมือนกันว่าคนเราอย่าไปมองคนแบบเหมารวม
บางคนที่มีเงินก็เหมารวมว่าคนจนนั้นเห็นแก่เงิน ส่วนคนที่พอมีพอกินหรือคนที่ฐานะไม่ดีก็เหมารวมว่าคนรวยนั้นเห็นแก่เงิน ประสบการณ์ของเราหรือสิ่งที่เราได้ยินมาอาจจะเป็นอย่างนั้น แต่ว่าอย่าเหมารวมว่าทุกคนจะเป็นอย่างนั้น อย่าเหมารวมว่าคนจนจะเห็นแก่เงิน หรืออย่าเหมารวมว่าคนรวยจะเป็นพวกงก ตระหนี่
เราต้องดูตามเนื้อผ้าไม่ใช่ตัดสินคนตามยี่ห้อหรือที่เรียกว่าเหมารวม เพราะว่าจะรวย จะจน คนที่ดีมีคุณธรรม ที่ซื่อสัตย์สุจริตก็มีอยู่ เรามีภาพประสบการณ์อย่างไรก็อย่าไปตัดสินคนที่เราพบ คนที่เรารู้จักเพียงเพราะว่าเขารวยหรือจน เพราะจริงๆเขาอาจจะไม่ได้เป็นอย่างที่เราคิด หรือภาพที่เราวาดเอาไว้ก็ได้.