พระอาจารย์ไพศาล วิสาโล วัดป่าสุคะโต แสดงธรรมก่อนฉันเช้าวันที่ 31 กรกฎาคม 2567
ที่ประเทศอินเดียเมื่อสัก 150 ปีที่แล้ว มีปัญหาหนึ่งซึ่งสร้างความเดือดร้อนกับชาวบ้านมาก ก็คืองูเห่าระบาด กัดคนล้มตายกันไม่ใช่น้อย
ตอนนั้นผู้ปกครองคืออังกฤษก็ร้อนใจว่าจะแก้ปัญหานี้อย่างไร ถ้าจะให้เจ้าหน้าที่หรือข้าราชการไปกวาดล้างงูเห่าทั้งประเทศ เป็นไปไม่ได้เลย งูเห่าจะถูกกวาดล้างได้ต้องอาศัยความร่วมมือจากชาวบ้าน
แล้วทำอย่างไรจะให้ชาวบ้านกระตือรือร้นในการกวาดล้างงูเห่า ก็มีคนเสนอว่าให้มีการรับซื้องูเห่าถ้าราคาดี ๆ คนก็จะกล้าจับงูเห่ามาขายให้รัฐบาล จึงประกาศรับซื้องูเห่า ซากงูเห่า ทีแรกชาวบ้านก็มีขมีขมันกันดี พากันไปจับงูเห่า แต่ก่อนหนีอย่างเดียว ตอนนี้ไม่หนีแล้ว เจองูเห่าก็จับ ฆ่าแล้วเอาไปขายให้เจ้าหน้าที่รัฐบาล
ตอนหลังมีคนหัวใส บอกว่าไปเสียเวลาจับทำไม เพาะเลี้ยงเลยดีกว่า บางคนก็เลี้ยงตัวสองตัว แต่บางคนก็เลี้ยงเป็นฟาร์มเลย แล้วก็เอางูเห่าไปขายเอาเงินรางวัลจากเจ้าหน้าที่
ตอนหลังรัฐบาลรู้ว่า งูที่ชาวบ้านเอามารับรางวัลไม่ใช่เป็นงูที่จับได้ แต่เป็นงูเพาะเลี้ยงก็เลยยกเลิกการให้รางวัล หรือให้เงินกับงูเห่าที่ชาวบ้านจับมาได้
สิ่งที่เกิดขึ้นตามมาก็คือชาวบ้านที่เพาะเลี้ยงงูเห่าจนเป็นฟาร์ม พอไม่มีรายได้ ทำอย่างไร ก็ปล่อยงูเห่าที่เลี้ยงเอาไว้ ปรากฏว่างูเห่าก็แพร่ระบาดหนักกว่าเดิม นโยบายรับซื้องูเห่ากลับกลายเป็นตัวส่งเสริมให้มีงูเห่าระบาดมากขึ้น
มีเหตุการณ์ทำนองนี้เหมือนกันที่ประเทศเวียดนามเมื่อประมาณสัก 100 ปีที่แล้ว หนูระบาดมาก รัฐบาลก็เลยบอกประกาศรับซื้อหางหนูเพื่อเป็นแรงจูงใจให้ชาวบ้านจับหนู ฆ่าหนู แล้วตัดหางมารับรางวัลจากรัฐบาล
ชาวบ้านเอาหางหนูมารับรางวัลจากรัฐบาลนี่เยอะเลย แต่ว่าวิธีการก็คือว่าจับหนูได้แล้วก็ตัดหาง ส่วนตัวนี่ปล่อย เอาแต่หางไปรับเงินรางวัล
ทำไมถึงปล่อยหนู ก็เพราะว่าถ้าขืนจับหนูไปหมดต่อไปก็ไม่มีหางหนูมารับเงินจากรัฐบาล ถ้าอยากได้เงินไปเรื่อย ๆ ก็ต้องให้มีหนูแพร่พันธุ์ไปเรื่อย ๆ ก็กลายเป็นว่าหนูไม่ได้หายไปเลย แถมก็แพร่พันธุ์หนักกว่าเดิม เพราะหนูที่ถูกจับได้แล้วถูกปล่อยก็ไปแพร่พันธุ์ แล้วชาวบ้านก็ส่งเสริมให้หนูมีลูกเยอะ ๆ เพราะว่าถ้ามีจำนวนมากขึ้น หางหนูก็มากขึ้นตามไปด้วย
ก็กลายเป็นว่านโยบายนี้ทำให้หนูไม่เพียงแต่ไม่ลดลงแต่ว่าเพิ่มมากขึ้น ชี้ให้เห็นเลยว่า นโยบายหรือวิธีการบางอย่างแม้จะปรารถนาดี แต่ว่าผลที่ตามมาเกิดตรงกันข้าม
อันนี้ก็เป็นอุทาหรณ์สำหรับคนที่เสนอว่าควรจะมีการจับปลาหมอคางดำด้วยการให้รางวัล ใครจับปลาหมอคางดำได้ มาให้รัฐบาลให้เจ้าหน้าที่ รัฐบาลจะให้เงินกิโลละ 15 บาท ได้ข่าวว่าเริ่มพรุ่งนี้เลย ดีเดย์ อันนี้ก็เป็นมาตรการหรือนโยบายที่ทางราชการเชื่อว่า จะทำให้ปลาหมอคางดำซึ่งตอนนี้แพร่ระบาดไปทั่ว สร้างความเดือดร้อนให้กับชาวบ้านมาก เพราะกินสารพัด กินปลานานาชนิด กินสัตว์เลี้ยง
ก็เลยคิดว่าวิธีที่จะกวาดล้างโดยที่ไม่ใช้งบประมาณของรัฐมากก็คือ รับซื้อปลาหมอคางดำกิโลกรัมละ 15 บาทจากชาวบ้าน ก็มีคนกลัวว่าชาวบ้านจะไม่จับหรอกแต่จะเลี้ยงเลย เพาะเลี้ยงแล้วเอามาขาย
นโยบายดี ๆ ถ้าหากว่าใช้เงินเป็นแรงจูงใจ หรือคิดว่าจะใช้เงินแก้ปัญหา บ่อยครั้งสร้างปัญหา หรือทำให้ปัญหารุนแรงมากขึ้น
ที่อิสราเอลมีโรงเรียนอนุบาลแห่งหนึ่ง ถึงเวลาเลิกเรียนพ่อแม่จำนวนมากมารับสาย มารับลูกช้า ลูกก็เตร่อยู่ที่โรงเรียน เป็นภาระกับครู จะกลับบ้านก็กลับไม่ได้ต้องคอยดูแลเด็ก แล้วเดี๋ยวเด็กบางทีก็หงอย โรงเรียนก็เลยพยายามเรียกร้องให้พ่อแม่มารับลูกเร็ว ๆ อย่าสายมากนัก
ตอนแรกก็ใช้วิธีตำหนิ พ่อแม่มารับลูกช้า ครูก็ตำหนิ แต่ว่าก็ยังมีปัญหานี้อยู่เรื่อย ๆ ตอนหลังก็มีคนเสนอว่า ก็ปรับ ปรับสิ พ่อแม่คนไหนมารับลูกช้าถูกปรับ ยิ่งช้ามากก็ยิ่งปรับมาก
แต่พอใช้มาตรการนี้ปรากฏว่ายังไง พ่อแม่รับลูกช้ามากกว่าเดิม ทำไมถึงมารับลูกช้ามากกว่าเดิม เพราะพ่อแม่จำนวนไม่น้อยไม่ได้มองว่าเป็นการถูกปรับ แต่คิดว่าการจ่ายเงินคือการซื้อสิทธิ์ในการมารับลูกช้า
ครูหรือเจ้าของโรงเรียนคิดว่า เงินที่พ่อแม่จ่ายคือการถูกปรับ จ่ายค่าปรับ แต่พ่อแม่มองว่าคือการซื้อสิทธิ์ในการมาสาย เพราะฉะนั้นคือว่าพ่อแม่หลายคนซึ่งต้องรีบเลิกงานเพื่อที่จะมารับลูก ตอนนี้ไม่จำเป็นแล้ว ไม่ต้องรีบเลิกงานก็ได้ ก็แค่จ่ายเงินให้โรงเรียน ถือว่าเป็นการซื้อสิทธิ์ในการมารับลูกช้า สบายใจด้วย
แต่ก่อนรู้สึกไม่สบายใจที่ว่าทำผิดกฎโรงเรียน มารับลูกช้า ผิดกฎโรงเรียน ไม่สบายใจ แต่ตอนนี้สบายใจแล้ว เพราะแค่จ่ายเงิน เงินที่จ่ายให้กับโรงเรียนก็คือการซื้อความสบายใจ แล้วก็ซื้อสิทธิ์ในการมารับลูกช้า
แล้วพ่อแม่เหล่านี้ก็มีเงินอยู่แล้วในการที่จะซื้อสิทธิ์ จ่ายเงินซื้อสิทธิ์ ก็เลยทำกันใหญ่เลย สุดท้ายโรงเรียนก็ต้องยกเลิกมาตรการนี้ ไม่ปรับแล้ว เพราะว่าเท่ากับส่งเสริมให้ผู้ปกครองมารับลูกช้ามากขึ้น ด้วยความสบายใจเพราะว่าจ่ายเงินไปแล้ว
การใช้เงินในการแก้ปัญหาหรือส่งเสริมสิ่งที่เราคิดว่าดี บางทีกลายเป็นตัวสร้างปัญหา บางประเทศมีปัญหาไฟป่าเยอะ ที่จริงมีปัญหาไฟป่าเยอะทุกประเทศแล้วตอนนี้ รัฐบาลก็เลยเพิ่มงบประมาณให้กับหน่วยงานที่ทำหน้าที่ดับไฟป่า
ปรากฏว่าแทนที่จะส่งเสริมให้ไฟป่าลดลง ไฟป่าไม่ลด มีแต่จะเพิ่มมากขึ้น เพราะอะไร เพราะพอไฟป่าเกิดขึ้น เจ้าหน้าที่ไม่ขวนขวายที่จะดับ เพราะถ้าทำงานดีมากไป ไม่มีไฟป่าเกิดขึ้น งบประมาณก็จะน้อย บุคลากรก็จะน้อย
แต่ถ้ามีไฟป่าเยอะๆ นี่งบประมาณก็จะไหลมาเทมาเข้าสู่หน่วยงาน ผู้บริหารก็ชอบอยู่แล้ว มีงบประมาณเยอะ ๆ
เพราะฉะนั้นการเพิ่มงบประมาณเพื่อที่จะแก้ปัญหาไฟป่ากลับกลายเป็นการส่งเสริมให้ไม่ขวนขวายในการดับไฟป่า บางทีปีไหนไฟน้อยลง ผู้บริหารกลัวว่า งบประมาณจะถูกตัด ก็เลยจุดไฟเข้าไปอีก จุดไฟเพื่อให้มีปัญหาอยู่เรื่อย ๆ จะได้งบประมาณ
อันนี้ไม่รู้ว่าเกิดขึ้นในเมืองไทยหรือเปล่า แต่มีคนบอกว่ากำลังเกิดขึ้นในเมืองไทย ฉะนั้นไฟป่าจึงไม่ค่อยได้ลดลงเท่าไหร่ เวลามีไฟป่าคนก็บอกว่างบประมาณน้อย แต่พอให้งบประมาณไป ก็สร้างแรงจูงใจให้มีการส่งเสริมให้เกิดไฟป่ามากขึ้น
อันนี้ก็เหมือนกับที่พ่อแม่ให้แรงจูงใจกับเด็ก ลูก ถ้าลูกได้เกรดดีพ่อจะให้รางวัล ให้เป็นเงินบ้าง ให้เป็นโทรศัพท์บ้าง ให้เป็นรถบ้าง หรือให้เป็นค่าในการทำศัลยกรรมเสริมทรงบ้าง เด็กแทนที่จะขยัน ไม่ใช่เลย
เด็กก็จะพยายามหาทางทำทุกวิธีที่จะเพิ่มเกรดโดยที่ไม่ต้องขยัน เช่น ทุจริตในห้องสอบ หรือว่าไปขอเกรดจากครู ขออาจารย์ เด็กไม่ได้ฉลาดขึ้น แต่มีวิธีพลิกแพลงมากขึ้น โกงมากขึ้น การให้เงินรางวัลกับเด็กที่ได้เกรดดี ๆ กลับเป็นการส่งเสริมให้มีการทุจริตมากขึ้น
เพราะฉะนั้นวิธีการแก้ปัญหาโดยเฉพาะการใช้เงินแม้ว่าจะเจตนาดีแต่ว่ามักจะส่งผลตรงกันข้าม อันนี้เป็นธรรมชาติของมนุษย์ที่แก้ได้ยากมาก.