พระอาจารย์ไพศาล วิสาโล วัดป่าสุคะโต แสดงธรรมก่อนฉันเช้าวันที่ 29 กรกฎาคม 2567
ช่วงนี้ถ้าเราติดตามข่าวคราวอยู่บ้างก็ย่อมทราบว่า มีเหตุการณ์ระดับโลกเกิดขึ้นตอนนี้ นั่นคือการแข่งขันกีฬาโอลิมปิก ซึ่งทำพิธีเปิดไปแล้วเมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา
เมื่อ 2 วันก่อนนี้ก็มีการแข่งขันประเภทหนึ่ง ซึ่งที่จริงแล้วก็ดูไม่ค่อยน่าสนใจเมื่อเทียบกับแข่งบอล หรือว่าต่อยมวยในสายตาคนไทย แต่ว่ามีอะไรที่น่าสนใจอยู่ นั่นคือกีฬาฟันดาบ
ทีมที่เข้าชิงชนะเลิศนี้ก็คือ ไม่ใช่ทีมนักกีฬาที่เข้าชิงชนะเลิศนี้ก็คือนักกีฬาของฝรั่งเศส กับนักกีฬาของฮ่องกง นักกีฬาฝรั่งเศสนี้เป็นตัวเต็ง เพราะว่าเป็นอันดับ 6 ของโลก ส่วนนักกีฬาของฮ่องกงนี้อันดับก็คงจะเลขสองหลัก
และแข่งไป ๆ ก็เห็นได้ชัดเลยว่า นักกีฬาฟันดาบของฝรั่งเศสคนนี้เหนือกว่าเพราะคะแนนนำตั้ง 7:1 โอกาสที่จะได้เหรียญทองนี้สูงมาก หรือบางคนก็คิดว่าได้เหรียญทองแน่ เพราะว่าแข่งไปแข่งไปก็ยังนำอยู่นั่นเอง 7 ต่อ 1 เป็น 9 ต่อ 6 แต่ว่านักกีฬาฮ่องกงนี้ก็ไม่ยอมแพ้ ทำคะแนนกระเตื้องขึ้นมาจาก 9 ต่อ 6 เป็น 10 ต่อ 8 แล้วก็ 10 ต่อ 9 แล้วก็เสมอเลย เป็น 11 ต่อ 11 12 ต่อ 12
คนก็ลุ้นกันใหญ่เลย ปรากฏว่าสุดท้ายนี้นักกีฬาฮ่องกง วิเวียน คง ชนะ 13 ต่อ 12 นับว่าเป็นเรื่องที่สร้างความประหลาดใจมากแก่คนที่ติดตามกีฬาฟันดาบโดยเฉพาะนัดนี้ เพราะเห็นชัดเลยว่า ชัยชนะนี้น่าจะเป็นของฝรั่งเศส เพราะว่านำ 7 ต่อ 1
แต่ผลสุดท้ายลงเอยว่านักกีฬาฝรั่งเศสแพ้ เป็นเรื่องที่ว่าพลิกความคาดหมายมาก สิ่งที่ตามมาก็มีทั้งความดีใจของคนเชียร์ฮ่องกง หรือไม่ก็ความเสียใจของนักกีฬาและทีมฝรั่งเศส เรียกว่าเป็นดราม่าก็ได้แต่ว่ามีอะไรให้เรียนรู้เยอะเลย
ถ้าเรามองดีๆนี้ ประการแรกก็คือว่าอะไรๆก็ไม่แน่ ทีมที่นำนี้สุดๆเลย 7 ต่อ 1 อาจจะลงเอยด้วยการพ่ายแพ้ก็ได้ ทีมที่นำอยู่ไปๆมาๆกลายเป็นรอง หรือว่าคนที่รองอยู่ไปๆมาๆกลับกลายเป็นนำ อันนี้เรียกว่าอะไรๆก็ไม่แน่ ที่นำอยู่อาจจะเป็นรอง หรือที่ทำท่าว่าจะชนะ ก็อาจกลายเป็นแพ้ อันนี้เป็นเรื่องของอนิจจังมาก
ซึ่งมันก็โยงถึงข้อที่ 2 ว่า ในเมื่อเกมส์ยังไม่สิ้นสุด อย่าเพิ่งด่วนสรุป ว่าชนะหรือแพ้ หรืออย่าเพิ่งดีใจหรือถอดใจ มีตัวอย่างเยอะแยะเลยกีฬาต่าง ๆ เช่น ฟุตบอล กอล์ฟ บาสเกตบอล ทีมที่นำอยู่นี้กลายเป็นฝ่ายแพ้ ส่วนทีมที่เป็นรองเขาฮึดสู้ ไม่ยอมแพ้ หรือเขาไม่คิดว่าจะต้องลงเอยด้วยความพ่ายแพ้นี้กลับกลายเป็นชนะได้
หลายคนนี้พอแข่งกีฬาไปใกล้ ๆ หมดเวลา และทีมที่ตัวเองเชียร์นี้ยังนำอยู่ ก็ฟันธงไปแล้วว่าชนะแน่ บางคนก็เดินออกจากสนามไปเลยกลัวรถติด แต่บางคนก็เดินออกจากสนามเพราะคิดว่า ทีมที่ตัวเองเชียร์นี้แพ้แน่ ๆ อันนี้ถือว่าด่วนสรุป เพราะว่าถ้าเวลายังไม่หมดนี้ อย่างที่ว่าข้อแรกคือ อะไรๆก็เกิดขึ้นได้
เพราะฉะนั้นอย่าด่วนสรุปว่าที่นำอยู่นี้ พอถึงนาทีสุดท้ายหรือวินาทีสุดท้ายก็จะแปลว่าชนะ ที่เป็นรองอยู่พอพอนาฬิกาบอกหมดเวลาจะแปลว่าแพ้ ตราบใดที่ยังมีเวลา ตราบใดที่ยังไม่เป่านกหวีด อะไรๆก็เกิดขึ้นได้ ฉะนั้นคนที่เป็นรองก็ไม่ควรคิดว่าแพ้แน่ แล้วถอดใจ ตรงข้ามเมื่อรู้ว่ามันยังไม่หมดเวลา ก็ยังมีโอกาสที่จะพลิกผลของการแข่งขันได้
ส่วนคนที่นำอยู่นี้ก็ไม่ใช่ว่าเวลาเหลือน้อยแล้วดีใจว่าชนะแน่ มันเคยมีนัดเตะลูกโทษนี้ เตะไปแล้วปรากฏว่าผู้รักษาประตูกันไว้ได้ ลูกกระฉอกไม่เข้าประตู ผู้รักษาประตูก็ดีใจกระโดดโลดเต้น โดยหารู้ไม่ว่าลูกบอลมันกระดอน แล้วค่อย ๆ ไหลไปที่ประตู เข้าประตูในที่สุด ถ้าผู้รักษาประตูไม่มัวแต่ดีใจกระโดดโลดเต้น หันมาดูสักหน่อย ลูกบอลก็จะไม่เข้าประตู อันนี้เรียกว่าด่วนสรุป ด่วนดีใจ
คนเราเวลาทำงานแม้ว่างานมีท่าทีว่าหรือแนวโน้มว่าจะล้มเหลวแน่ ๆ แต่ว่าถ้าไม่ถอดใจ คิดว่าในเมื่อยังไม่หมดเวลา โอกาสที่จะเปลี่ยนจากความล้มเหลวให้กลายเป็นความสำเร็จมันก็ยังมีอยู่ คนเหล่านี้ก็มีโอกาสที่จะประสบความสำเร็จได้ ถึงแม้ว่าที่ผ่านมาจะไม่ดีเลย แต่ว่าอะไรๆก็เกิดขึ้นได้
ไม่มีอะไรที่แน่นอน ตราบใดที่ยังไม่หมดเวลา เขาถึงบอกว่าสงครามยังไม่สงบอย่าเพิ่งนับศพ จะนับศพได้ก็ต้องให้สงครามสงบเสียก่อน เพราะว่าศพที่เกิดขึ้นแม้ว่าตอนนี้อาจจะมีน้อย แต่ว่าพอผ่านไปไม่นานนี้อาจจะเพิ่มขึ้นเป็น 2 เท่า 3 เท่าก็ได้
ก็ถือเป็นบทเรียนสำหรับคนที่จะทำอะไรก็ตาม ไม่ว่าจะเป็นแข่งขัน ทำงาน เจออุปสรรคความล้มเหลวก็อย่าถอยอย่าถอดใจ
ข้อที่ 3 ก็สำคัญ เขาสัมภาษณ์นักกีฬาฮ่องกง วิเวียน คง ว่าทำอย่างไรถึงตีตื้นได้จนชนะ เขาบอกว่าทีแรกนี้รู้สึกกดดันมาก ถามตัวเองว่าทำไมถึงเป็นอย่างนี้ ทำไมกดดันอย่างนี้ ก็เพราะว่าไปกังวลกับผลลัพธ์มากเกินไปก็เลยกลัวแพ้ พอกลัวแพ้ก็เลยเกร็ง ที่เล่นไป ๆ ก็เลยแย่
แต่ตอนหลัง บอกกับตัวเองว่า ฉันทำเต็มที่แล้วนี่ ให้ผ่อนคลายซะ ผ่อนคลายก็คือว่าอย่าไปสนใจเป้าหมายหรือผลลัพธ์ ไม่สนใจว่าจะชนะหรือแพ้ ให้ทำเต็มที่ก็แล้วกัน
ปรากฎว่าพอทำอย่างนั้นได้ ใจก็รีแล็กซ์ ผ่อนคลาย พอผ่อนคลายก็เล่นได้ดี ไม่กังวล ไม่ลน ไม่รู้สึกกดดัน ปรากฏว่าที่แพ้นี้ก็ตีตื้นขึ้นมาทีละนิด ทีละนิด จนเสมอ แล้วก็ชนะ
เชื่อเลยคนเราเวลาทำอะไรนี้เราจะทำได้ดีก็ต่อเมื่อใจมาอยู่กับปัจจุบัน แต่ที่เราทำได้ไม่ดีและก็เครียด ทุกข์นี้ ก็เพราะว่าไปกังวลกับผลลัพธ์ คำนึงถึงผลลัพธ์มากไป คำนึงถึงความสำเร็จ หรือไปกังวลกับความล้มเหลว คำนึงถึงชัยชนะหรือว่ากลัวแพ้ ทำให้กดดัน
พอกดดันแล้วก็เล่นได้ไม่ดี แต่พอปล่อยวางผล อันนี้คือปล่อยวางผลลัพธ์ จะเป็นอย่างไรฉันไม่สน เพราะว่าฉันทำเต็มที่แล้ว และก็จะทำเต็มที่ต่อไป
อันนี้เรียกว่าทำเต็มที่แต่ไม่ซีเรียส คนที่รู้จักทำเต็มที่แต่ไม่ซีเรียสนี้ก็มีโอกาสที่จะเปลี่ยนความพ่ายแพ้ให้กลายเป็นชัยชนะได้ หรือว่าเปลี่ยนความล้มเหลวให้กลายเป็นความสำเร็จได้ หรืออย่างน้อยๆนี้ก็ทำงานโดยไม่เครียด
เห็นได้ชัดเลยว่าแม้จะเก่งเพียงใด แต่ถ้าหากว่าไปจดจ่อกับผลลัพธ์ซึ่งเป็นอนาคต มันก็ทำให้ความสามารถออกมาไม่ดี ต้องรีดต้องเค้นซึ่งก็ทำให้แย่ลง กดดันมากขึ้น แต่พอไม่สนใจเป้าหมายไม่สนใจผลลัพธ์ จดจ่ออยู่กับปัจจุบันทำให้เต็มที่ เรียกว่าทำปัจจุบันให้ดีที่สุดนี้
สุดท้ายนอกจากคนทำคนเล่นจะรู้สึกกดดันน้อยลง ผ่อนคลายมากขึ้นแล้ว ผลที่ออกมากลับดีกว่าที่คิดก็ได้ ก็เรียกว่านี้เป็นอานิสงส์หรืออานุภาพของการทำเต็มที่แต่ไม่ซีเรียส.