พระอาจารย์ไพศาล วิสาโล วัดป่าสุคะโต แสดงธรรมก่อนฉันเช้าวันที่ 28 กรกฎาคม 2567
ในสมัยพุทธกาล มีช่วงหนึ่งก็หลายปีทีเดียวที่พระพุทธเจ้าพำนักอยู่ที่วัดเชตวัน ใกล้ ๆ วัดก็มีเมือง ๆ หนึ่งชื่อเมืองสาวัตถี เมืองนี้มีผู้หญิงคนหนึ่งเธอเป็นอุปัฏฐากของนักบวชลัทธินิกายหนึ่งเรียกว่าอาชีวกซึ่งเป็นนักบวชเปลือย อาชีวกท่านนี้ชื่อว่าปาฏิกะ หญิงคนนี้ก็อุปัฏฐากปาฏิกะคนนี้อยู่นานหลายปี
วันหนึ่งเธอได้ยินผู้คนสนทนากันถึงกิตติศัพท์ของพระพุทธเจ้า ว่าพระองค์แสดงธรรมได้ลึกซึ้ง ช่วยคนพ้นทุกข์ได้มากมาย นางก็อยากไปฟัง จึงไปขออนุญาตปาฏิกะ ปาฏิกะนี้กลัวว่านางจะหันไปศรัทธาพระพุทธเจ้า และจะทำให้ตัวเองนี้ขาดลาภสักการะ เพราะว่าถ้าไปศรัทธาพระพุทธเจ้าก็คงจะไม่มาอุปัฏฐากของตัวเองอีกต่อไป ปาฏิกะก็เลยห้ามว่าอย่าไป
นางก็เชื่อ แต่นางก็มีความสนใจอยากฟังธรรม ก็เลยคิดว่าในเมื่ออาจารย์ไม่อนุญาตให้เราไปฟังธรรม เราไม่ไปก็ได้แต่เราจะนิมนต์ให้ท่านมาที่บ้านเรา เราจะได้ฟังธรรมของพระตถาคต
ก็เลยบอกให้ลูกชายไปนิมนต์พระพุทธเจ้าให้เสด็จมาบ้าน รับภัตตาหารตอนเช้า
ลูกชายนี้ก่อนที่จะไปทำหน้าที่ตามที่แม่มอบหมาย ก็ไปบอกปาฏิกะ ปาฏิกะก็บอกว่าจะไปก็ได้ จะไปนิมนต์พระพุทธเจ้าก็ได้ แต่อย่าบอกทางไปบ้านของมารดาของเธอ ในใจของปาฏิกะนี้คิดว่า ถ้าพระพุทธเจ้าไม่สามารถเสด็จมาที่บ้านของนางได้ อาหารก็จะเหลือ และตัวเองก็จะได้ไปกินของดีๆที่บ้านของนาง วางแผนแบบนี้
พอถึงวันที่นิมนต์พระพุทธเจ้าก็เสด็จมาที่บ้านของนาง แม้จะไม่มีคนบอกทางแต่ก็เสด็จมาถูก แต่ก่อนหน้านั้น ปาฏิกะได้แอบมาที่บ้านของนาง และก็หลบซุ่มอยู่ในห้องหนึ่ง หวังว่าถ้าพระพุทธเจ้าเสด็จมาไม่ถูก อาหารก็จะเป็นของตัวก็จะได้กินอาหารดีๆ
แต่พระพุทธเจ้าเสด็จมาที่บ้านของนางได้แม้จะไม่มีคนบอกทาง เมื่อฉันเสร็จ พระพุทธเจ้าก็แสดงธรรมให้กับนางผู้นี้ นางฟังก็เกิดศรัทธา เกิดความซาบซึ้งในธรรม ก็เปล่งคำสาธุออกมาหลายครั้ง
ทั้งหมดนี้ปาฏิกะได้ยิน เพราะว่าแอบอยู่ในห้องที่ติดกัน เกิดความโกรธมาก ที่นางมีศรัทธาในพระพุทธเจ้า ก็เลยออกมาจากห้องที่ตัวเองหลบซ่อน แล้วตะโกนด่าพระพุทธเจ้าเสีย ๆหาย ๆ เท่านั้นไม่พอ ยังด่าและก็สาปแช่งนางผู้นี้ว่าเป็นนางกาลกิณี ขอให้นางจงฉิบหายเถิด จะสักการะบูชาตถาคตก็สักการะไป ว่าแล้วก็เดินออกจากบ้านนั้นไปเลย
หลังจากเกิดเหตุการณ์นี้ พระพุทธเจ้าก็กลับมาแสดงธรรมต่อ พระองค์ไม่ได้สนใจ ไม่หวั่นไหวเลยที่ถูกปาฏิกะด่าต่อหน้าธารกำนัล พระองค์แสดงธรรมต่อ ตรงข้ามกับนางผู้นี้ พอถูกด่าก็โกรธ จิตใจรุ่มร้อนฟุ้งซ่าน พระพุทธเจ้าแสดงธรรมอย่างไร ก็ไม่ได้ยิน ไม่รู้เรื่องเลย เพราะแค้นหรือเพราะโกรธปาฏิกะ
พระพุทธเจ้าทราบว่านางผู้นี้กำลังมีความโกรธ และฟังธรรมไม่รู้เรื่องแล้ว พระองค์ก็เลยตักเตือนนางผู้นี้ว่า อย่าไปสนใจคำพูดของคนที่มีความโกรธ ให้มาใส่ใจกับสิ่งที่กำลังทำอยู่ และสิ่งที่ยังไม่ได้ทำ ปรากฎว่านางได้สติเลย ทิ้งคำด่าของปาฏิกะ แล้วกลับมาใส่ใจกับธรรมะที่พระพุทธเจ้าทรงแสดง ไม่นานก็บรรลุธรรมเป็นพระโสดาบัน
ลองคิดว่าถ้าเกิดนางยังมีจิตใจรุ่มร้อน หวั่นไหว ใจกระเพื่อม พระพุทธเจ้าแสดงธรรมวิเศษอย่างไรก็ไม่มีประโยชน์ แต่เป็นเพราะว่านางทิ้งคำพูด ไม่ใส่ใจคำพูดของปาฏิกะ หันมาใส่ใจกับธรรมะที่พระพุทธเจ้าแสดงจึงได้บรรลุธรรม
ความโกรธมันทำให้เรานี้ลืมตัวได้ง่ายว่ากำลังทำอะไรอยู่ แม้สิ่งที่กำลังทำจะมีคุณค่ามีความสำคัญ แต่พอโกรธแล้วมันจะลืมหมดเลย แต่ว่าสิ่งที่จะช่วยให้เราระลึกได้ว่ากำลังทำอะไรอยู่นี้คือสติ สตินี้ทำให้เราระลึกได้ว่ากำลังทำอะไรอยู่ เหมือนกับสติทำให้นางระลึกได้ว่ากำลังฟังธรรมอยู่ และสติก็ยังดึงจิตของนางกลับมาอยู่กับการฟังธรรม ก็เลยได้ประโยชน์ที่สูงส่งมาก
คนเราเวลาฟังธรรม สิ่งที่สำคัญอย่างหนึ่งคือมีสติ เพราะถ้าไม่มีสติแม้ได้ยินอะไรไป มันก็ไม่เข้าหูหรอก ถ้าเกิดว่าใจไปมัวหงุดหงิด รำคาญ อาจจะไม่ใช่เสียงด่าของเจ้านายลูกน้อง คนรัก แต่อาจจะหงุดหงิดรำคาญกับเสียงโทรศัพท์ หรือว่าเสียงหมาเห่า
ที่จริงแล้วอย่าว่าแต่ฟังธรรมเลย แม้กระทั่งเวลามาทำบุญ ถ้าเรามาทำบุญแล้วทั้งที่กำลังจะถวายของให้กับพระ แต่ใจไปคิดเรื่องโน้นเรื่องนี้ คิดห่วงกังวลถึงลูกที่บ้าน พ่อแม่ที่โรงพยาบาล แม้จะทำด้วยความรักแต่มันก็ปิดโอกาสที่จะทำให้จิตใจเกิดกุศล หรือว่าใจเป็นบุญ ไม่ต้องพูดไปถึงการฟังธรรม
ฉะนั้น การที่เรามาวัดไม่ว่าจะเป็นวันพระหรือวันไหนก็ตาม คิดจะมาทำบุญ ใจเราจะไม่ได้บุญหรอกถ้าเราไม่ได้พกเอาสติมาด้วย มาวัดแล้ว สิ่งสำคัญไม่ใช่เอาของ เอาดอกไม้ธูปเทียน หรือเอาเครื่องสังฆทานมาถวาย อันนั้นก็สำคัญอยู่แต่ที่สำคัญกว่านั้นคือสติ เอาสติมาวัดด้วย เพราะถ้าไม่เอาสติมาวัด ทำบุญอะไรใจก็ได้บุญน้อยเพราะว่าใจถูกครอบงำด้วยความหงุดหงิด ความกังวล ความวิตก
แต่ถ้าเอาสติมา ทำบุญก็ได้บุญเต็มๆ คือใจเป็นบุญ ฟังธรรมก็ได้ธรรมะ ไม่ใช่แค่ว่ามาประดับใจแต่ว่าจะทำให้เกิดปัญญาด้วย
และที่จริงแล้ว ไม่ว่าเราจะทำอะไร แม้กระทั่งทำงาน สนทนากับลูก สิ่งสำคัญคือสติ เพราะถ้าไม่มีสติ เราก็จะลืมไปได้ว่ากำลังทำอะไรอยู่ อย่างที่พระพุทธเจ้าเตือนนางว่า ให้ใส่ใจกับสิ่งที่กำลังทำ รวมทั้งสิ่งที่ยังไม่ได้ทำ สิ่งที่ยังไม่ได้ทำก็หมายถึงสิ่งที่มีความสำคัญ สติจะทำให้เรารู้ว่าอะไรที่เรายังไม่ได้ทำแต่ควรทำ เช่น การปฏิบัติธรรม การทำความดี การให้เวลากับคนรัก เป็นต้น แต่ว่าสิ่งสำคัญคู่กันนั้นก็คือว่าสิ่งที่กำลังทำอยู่
เราทำอะไรแม้จะสำคัญอย่างไร แต่เรามักลืมว่ากำลังทำอะไรอยู่ เพราะว่าใจเราไปอยู่กับอดีตบ้าง ไปอยู่กับอนาคตบ้าง บางทีปล่อยให้ความโกรธคุกคามใจครอบงำใจก็ตะโกนด่า อาจจะด่าลูกค้าทั้งๆ ที่ตั้งใจจะหว่านล้อมลูกค้าให้เห็นด้วยกับข้อเสนอของเรา แต่พอลูกค้าพูดกวน โมโหก็ลืมตัว ลืมไปเลยว่ากำลังทำอะไรอยู่ แต่ถ้ามีสติมันจะทำให้เรารู้ว่าเรากำลังทำอะไรอยู่ หน้าที่ของเราคือชวนเขาให้เขาเห็นดีด้วยกับสิ่งที่เราเสนอ ไม่ใช่ไปด่าเขา แต่นั่นเขาลืมตัว นั่นเพราะขาดสติ.