พระอาจารย์ไพศาล วิสาโล วัดป่าสุคะโต แสดงธรรมก่อนฉันเช้าวันที่ 24 กรกฎาคม 2567
เดี๋ยวนี้มีข่าวว่าคนแก่ตกเป็นเหยื่อของมิจฉาชีพหรือผู้ร้ายมากขึ้นเรื่อย ๆ มีตั้งแต่มาหลอกลวงทางโทรศัพท์มือถือ ล่อหลอกให้กด Link เสร็จแล้วก็กวาดเอาเงินในบัญชีธนาคารไปจนหมด หรือมิเช่นนั้นก็มาชิงทรัพย์เอาดื้อ ๆ ใช้ปืนจี้เอากระเป๋าเงินหรือว่าเครื่องประดับ ที่วิ่งราวเอากระเป๋าเงินนี่ก็มีประจำ ยังไม่นับประเภทว่าพากันมาปล้นทรัพย์ บางทีบุกเข้ามาถึงบ้าน โดยเฉพาะเดี๋ยวนี้คนแก่อยู่บ้านคนเดียว
ลูกหลานก็ไปทำงานกันกลางวัน
แม้แต่รถยนต์ก็ถูกมิจฉาชีพปล้นเอาไปก็มีอยู่บ่อย ๆ คุณยายคนหนึ่งอายุ 90 ปีแล้ว อ่านข่าวเหล่านี้แล้วแกก็รู้สึกว่าต้องหาทางป้องกันตัวเอง รับมือกับมิจฉาชีพเหล่านี้ถ้ามันมาเกิดเหตุขึ้นกับตัวเอง แกทำอย่างไร แกก็ไปหาปืนมา ปืนพก ใส่ไว้ในกระเป๋า ไปไหนมาไหนก็พกปืนไปด้วย
วันหนึ่งไปซื้อของที่ห้างสรรพสินค้า ซื้อเสร็จก็ออกมา เดินตรงไปที่จอดรถเพราะว่ารถของตัวเองจอดอยู่ตรงนั้น ไปถึงรถของตัวเองปรากฏว่าเจอชายหนุ่ม 4 คนอยู่ในรถของคุณยาย แกตัดสินใจควักปืนออกมาเลย แล้วก็จ่อไปที่ชายหนุ่มเหล่านั้น บอกว่าฉันยิงปืนเป็นนะ ชายหนุ่ม 4 คนนั้นตกใจ เปิดประตูรถแล้วก็วิ่งออกจากรถหนีออกไปเลย
คุณยายก็ไปขึ้นรถ ปรากฏว่ากุญแจรถของคุณยายมันใช้ไม่ได้ เสียบไปแล้วรถไม่สตาร์ท ก็แปลกใจว่าเป็นอะไร บังเอิญมองไปข้างหน้ารถ ก็ไปเห็นรถคุณยายจอดอยู่ไม่ไกล จึงรู้แล้วว่ารถที่ตัวเองนั่งอยู่นี่มันไม่ใช่รถของตัว ฝรั่งเวลาเขารู้ว่ามีเหตุการณ์ที่ไม่ค่อยชอบมาพากลก็จะไปที่สถานีตำรวจ
แกเล่าเรื่องเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นให้ตำรวจร้อยเวรฟัง เขาก็หัวเราะเลย แล้วก็ชี้มือไปที่ชายหนุ่ม 4 คนที่นั่งอยู่ไม่ไกล บอกว่าชายหนุ่ม 4 คนเขามาแจ้งความแล้วว่า ถูกหญิงชราปล้นมารถของตัวเองไป
สรุปก็คือว่ารถที่ชายหนุ่ม 4 คนนั่ง มันไม่ใช่รถของคุณยาย มันเป็นรถของพวกเขา แต่คุณยายแกไปทึกทักว่าเป็นรถของตัว แล้วยังเหมาว่า 4 คนนี้เป็นผู้ร้ายจะมาขโมยรถของตัว แกเลยควักปืนออกมา ดีที่ไม่ได้ยิง
คุณยายแกก็ได้บทเรียนเลยว่า ทีหลังต้องช้ากว่านี้ อย่ารีบหุนหันพลันแล่น ที่สำคัญก็คือว่าอย่ารีบด่วนสรุป เพราะว่ารถถึงแม้ว่ามันจะยี่ห้อเดียวกัน รุ่นเดียวกัน สีเดียวกัน ก็อย่าเพิ่งด่วนสรุปว่า รถที่เห็นเป็นของตัว มันอาจจะเป็นรถของคนอื่นก็ได้ อย่างกรณีนี้ก็เป็นรถของเด็กใน 4 คนนี้แหล่ะ
ก็กลายเป็นว่าคุณยายแทนที่จะตกเป็นเหยื่อของมิจฉาชีพ แกกลับไปจี้ไปปล้นเอารถของคนอื่น ทำผิดกฎหมายโดยไม่รู้ตัว การเข้าใจผิดว่านี่ของฉัน ๆ แต่ว่ามันเป็นของคนอื่น
ที่จริงมันไม่ได้เกิดขึ้นกับคนแก่อย่างเดียว คนทุกวัยมักจะทึกทักหรือหลงผิดแบบนี้ได้ แล้วก็ไม่ใช่เฉพาะการทึกทักว่านี่เป็นรถของฉัน นี่เป็นของของฉัน บางทีทึกทักผิดเรื่องอื่นก็มี เพราะฉะนั้นมันก็เป็นเรื่องอุทาหรณ์สอนใจว่า คนเราอย่าเพิ่งด่วนสรุปอะไรง่าย ๆ อย่าเพิ่งเชื่อความคิดของตัวว่า นี่ใช่แน่ รถของฉัน
มีผู้ชายคนหนึ่งจะไปสนามบิน แล้วก็ซื้อขนม เป็นขนมประเภทขนมปังพุดดิ้งใส่ห่อ พอมาถึงสนามบินก็นั่งรอเครื่องบิน แล้วก็ไปที่ร้าน สั่งกาแฟมา โต๊ะที่เขาจะนั่งมีผู้หญิงอีกคนหนึ่งนั่งอยู่ก่อนแล้วเพราะว่าร้านนี้มีโต๊ะไม่มาก เขาตั้งใจว่าจะเอาขนมปังที่ซื้อมากินกับกาแฟ ปรากฏว่าเห็นผู้หญิงคนที่นั่งอยู่ด้วยหยิบเอาขนมของเขาไปกิน เขาก็ไม่ว่าอะไร แต่นึกตำหนิในใจว่า ไม่ขอเลย สักพักก็หยิบใส่ปากอีก ทีละชิ้น ๆ จนเหลือแค่ครึ่งเดียว
ชายคนนั้นก็เลยพูดกับหญิงคนนั้นว่า นี่คุณมีมารยาทเสียบ้างสิ เอาขนมของคนอื่นไปกินแล้วทำไมไม่เอ่ยปากขอบ้าง ผู้หญิงคนนั้นบอกว่า ของฉัน นี่ของฉัน ชายคนนั้นก็เถียงว่าเป็นของฉัน เถียงกันไปเถียงกันมาจนกระทั่งเลิกราต่อกัน เพราะว่าเครื่องบินตัวเองใกล้ออกแล้ว
พอขึ้นเครื่องบิน ค้นกระเป๋าปรากฏว่า อ้าว มาเจอขนมที่ตัวเองซื้อไว้ มันยังอยู่ในกระเป๋าเลย ไม่ได้เอาออกมา แปลว่าอะไร แปลว่าขนมที่ผู้หญิงคนนั้นกินมันไม่ใช่ของเขา มันเป็นของเธอ แต่ผู้ชายคนนั้นคิดว่าเป็นขนมของเขาก็เลยไปต่อว่าผู้หญิงคนนั้น อันนี้เรียกว่าเป็นเพราะความเข้าใจผิด ทึกทัก ด่วนสรุป
บางทีคนเราก็เผลอได้ แต่ถ้าเรารู้ว่าคนเรามีสิทธิ์เผลอได้โดยเฉพาะคนวัยชราคนแก่เผลอได้ง่าย ความจำก็ไม่ค่อยดี บางทีไปนึกว่ารถของคนอื่นเป็นรถของตัว ทั้งที่รถของตัวจอดไว้ หรือนึกว่าหาย นึกว่าคนขโมยไป ของหายแต่ที่แท้เก็บใส่ตู้ เก็บใส่ลิ้นชัก แต่ว่าปรุงไปแล้วว่ามีคนขโมยไป ฉันวางของอยู่ตรงนี้มันหายไปไหน ที่แท้ตัวเองเก็บไปก่อนแล้วแต่ลืม
ตอนที่เอาของไปเก็บนี่ลืม จำได้แต่ตอนที่เอาของวางไว้ที่บนโต๊ะ จะเป็นโทรศัพท์มือถือ หรือเป็นกระเป๋าเงิน หรือแม้แต่แหวนเพชร สร้อยทอง พอหายไปเริ่มโทษ โทษคนงานบ้าง โทษพี่เลี้ยงบ้าง หรือว่าโทษคนอื่นบ้าง เป็นเรื่องเป็นราวใหญ่โต มารู้ทีหลังว่าที่จริงไม่ได้หายหรอก แต่ตัวเองเก็บเอาไว้ในลิ้นชัก
อันนี้มันเกิดขึ้นบ่อยโดยเฉพาะคนแก่เพราะว่าหลงลืมง่าย แต่ว่าที่จริงแล้วมันก็ไม่ใช่คนแก่เท่านั้น คนทุกวัยแหละแต่คนแก่มีแนวโน้มจะเป็นอย่างนี้มาก
ฉะนั้น เวลาเจอเรื่องแบบนี้นี่อย่าเพิ่งด่วนสรุป ลองตั้งสติแล้วก็ลองค้นหาดูให้แน่นอน มันอาจจะ ไม่ใช่ว่าของหายแต่ว่าตัวเองเก็บเอาไว้เอง บางคนนี่ความจำแม่นตอนเป็นหนุ่มเป็นสาว แต่พอแก่ชราแล้วยังไม่ยอมรับว่าตัวเองนี่ความจำเริ่มเสื่อม
ให้ตระหนักว่าคนเราพออายุมากขึ้นมันเป็นคนละคนแล้ว มันไม่ใช่คนเดิม เพราะฉะนั้นอะไรที่ไม่เคยเกิดก็อาจจะเกิดขึ้นได้ รวมทั้งความจำที่เสื่อมด้วย หรือความเข้าใจผิด.