พระอาจารย์ไพศาล วิสาโล วัดป่าสุคะโต แสดงธรรมเย็นวันที่ 9 กุมภาพันธ์ 2567
มีผู้ชายคนหนึ่งบินไปทำธุระที่อเมริกา ระหว่างที่อยู่อเมริกาก็เช่ารถเพื่อไปทำธุระตามเมืองต่างๆ มีช่วงหนึ่งไปพักที่โรงแรมแถว LA (ลอสแองเจลิส)
เช้าวันหนึ่ง ขณะที่ขับรถออกจากโรงแรม ตรงลานจอดรถปรากฏว่า มีรถกระบะคันหนึ่งถอยออกมา มันก็เลยปะทะกับรถที่เขาขับอยู่ มันก็ไม่แรง แต่ว่าก็แรงพอที่จะทำให้เขาเกิดความไม่พอใจ แต่เขาก็สะกดใจเอาไว้ได้ แล้วก็ลงมาคุยกับเจ้าของรถกระบะคันนั้น
เจ้าของรถกระบะคันนั้นก็ดี ไม่ต่อล้อต่อเถียง ไม่ต่อปากต่อคำ มีการขอโทษ แล้วก็มีการแลกข้อมูลเกี่ยวกับบริษัทประกันรถ เพราะว่าที่อเมริการถทุกคันมีประกันอยู่แล้ว ไม่กี่นาทีก็แยกย้ายกัน ต่างคนต่างก็ขับไปทำธุระของตัว
เมื่อเหตุการณ์ผ่านไปสักพัก เขาก็มานั่งทบทวนว่า ทั้ง ๆ ที่มันเป็นรถเช่าแท้ ๆ ไม่ใช่รถของตัวเอง ทำไมจึงเกิดความไม่พอใจเมื่อมีรถอีกคันหนึ่งมาเฉี่ยวชน แล้วรถเช่าก็มีประกัน เวลารถมันมีอุบัติเหตุเฉี่ยวชนก็ไม่เห็นต้องเดือดร้อนอะไรเลย เพราะว่าประกันเขาก็รับผิดชอบอยู่แล้ว
อีกอย่างหนึ่งก็ไม่มีใครบาดเจ็บเสียหาย เวลาเกิดอุบัติเหตุถ้าหากว่าทุกคนปลอดภัยก็ถือว่าเป็นโชคแล้ว แต่ทำไมจึงเกิดความไม่พอใจขึ้น เขาก็ดีเมื่อเกิดเหตุการณ์ไปแล้ว ก็ไม่ได้ปล่อยให้มันผ่านเลยไป แต่มานั่งคิด ว่าทำไมเราจึงเกิดความไม่พอใจ เกิดความหงุดหงิด ทั้ง ๆ ที่มันก็ไม่ใช่รถของเรา
ซึ่งมันก็อธิบายได้หลายอย่าง อาจเป็นเพราะนิสัยก็ได้ เป็นนิสัยเวลามีรถมาเฉี่ยวชนก็เกิดความไม่พอใจ หรือเวลามีใครมาทำอะไรกระทบกับทรัพย์สมบัติของเราก็เกิดความไม่พอใจ อย่างน้อยก็เป็นอารมณ์เบื้องต้น
เพราะฉะนั้น แม้ว่าจะเป็นรถที่ไม่ใช่ของเรา เป็นรถเช่า แต่พอเกิดเหตุการณ์แบบนี้มันก็เกิดปฏิกิริยา ที่เป็นไปโดยอัตโนมัติ คือไม่พอใจ แล้วก็อาจจะมองว่า ทำไมไม่ดูตาม้าตาเรือ เพราะถ้าคนขับรถกระบะนี้เขาระมัดระวังหน่อยก็คงไม่ถอยลงมาพรวดพราดอย่างนั้น หรือเป็นเพราะว่าไปเผลอคิดว่าเป็นรถของเรา รถของเรา
ธรรมดาคนเรานี้ มันก็ง่ายที่จะยึดอะไรไว้เป็นของเรา อย่างเวลาเราไปนั่งในห้องประชุม ถ้าเกิดเรานั่งก่อน เราก็มักจะยึดว่าเป็นที่นั่งของเรา เกิดถ้าเราลุกไปเข้าห้องน้ำ มีคนมานั่งตรงนั้นแทน เราก็จะไม่พอใจ ไม่พอใจเพราะเราไปยึดว่าเป็นที่นั่งของเรา
อย่าว่าแต่ที่นั่งเลย แม้กระทั่งทางจงกรมในวัด ถ้าหากว่าใช้ทางจงกรมเดินสัก 2-3 ชั่วโมง แล้วก็รู้สึกว่าทางนี้ดี พอไปกินอาหารกลางวันกลับมา อ้าว มีคนมาใช้ทางนั้นเสียแล้ว เราก็ไม่พอใจ ความรู้สึกไม่พอใจก็เกิดขึ้น เป็นปฏิกิริยาแรกเพราะไปยึดว่าเป็นของเรา ทางจงกรมของเรา ทั้ง ๆ ที่มันเป็นของวัด เป็นของส่วนรวม อันนี้ก็เป็นธรรมชาติของใจเราที่เกิดการยึดติด ถือว่าเป็นของเรา
ผู้ชายคนนี้พิจารณา มองต่อไปว่า มันมีเหตุทะเลาะเบาะแว้งกันบนท้องถนน ตามที่สาธารณะต่าง ๆ มากมาย วันแล้ววันเล่า แทบทุกหนทุกแห่ง ทั้ง ๆ ที่ อาจจะเริ่มต้นจากเรื่องเล็กน้อย แต่ทำไมมันบานปลาย ก็เพราะว่าสิ่งที่อัดแน่นอยู่ภายในมันเหมือนเชื้อไฟหรือเชื้อไวไฟ พอเจอความร้อนนิดเดียวมันก็ระเบิดหรือตูมขึ้นมา
ซึ่งตรงนี้เขาอธิบายว่าที่เขามีอารมณ์หงุดหงิดไม่พอใจ ทั้ง ๆ ที่มันก็เป็นเรื่องเล็กน้อย รถกระบะที่มากระทบก็เบา ๆ แต่ทำไมถึงเกิดความไม่พอใจขึ้นมา ก็คงเพราะว่ามันมีอะไรที่อัดแน่นอยู่ภายในเหมือนเชื้อไวไฟ อันนี้เป็นเหตุผลที่เขาใช้อธิบายเวลารับรู้ข่าวคราวว่ามันมีการทะเลาะเบาะแว้งกัน เอาเป็นเอาตายกัน จะเป็นบนถนน ลานจอดรถ หรือที่ไหนก็ตาม
เขาเลยได้คิดต่อไปว่า เพราะฉะนั้นวิธีที่จะป้องกันไม่ให้เกิดเหตุร้ายก็คือ ต้องเก็บกดอดกลั้นหรือสร้างเกราะป้องกันภายในเพื่อไม่ให้อะไรมากระทบกับอารมณ์ที่มันอัดแน่นอยู่ในใจ หรือมีเกราะป้องกันเพื่อที่จะไม่ให้อารมณ์ที่มันอัดแน่นภายในปะทุออกมา ระเบิดออกมา
อันนี้ก็เป็นความเข้าใจของเขาว่า เราต้องมีความอดทนอดกลั้นหรือว่าสร้างเกราะป้องกันไม่ให้ อารมณ์ที่มันอัดแน่นอยู่ภายในมันปะทุออกมา
พอเขาเล่าเรื่องนี้ให้เพื่อนอเมริกันฟัง เพื่อนคนนั้นเขาก็พูดดี เขายกตัวอย่างว่า เวลาคุณถือถ้วยกาแฟแล้วเกิดมีคนมาชนคุณแม้จะนิดหน่อย สิ่งที่เกิดขึ้นก็คือว่ากาแฟในถ้วยมันก็กระฉอกออกมา
ถามว่าทำไมกาแฟในถ้วยถึงกระฉอกออกมา มันไม่ใช่เพราะมีใครมากระทบเราเท่านั้น แต่เป็นเพราะว่าในถ้วยนั้นมันมีกาแฟ ถ้าไม่ใช่กาแฟแต่เป็นชา มีใครมากระทบมาชนเราแม้เบา ๆ ถ้วยมันก็กระฉอก ชาก็กระฉอกออกมาหกเลอะเทอะ
เขากำลังอธิบายว่า สิ่งสำคัญมันคงไม่ใช่อยู่ที่การป้องกันไม่ให้มีอะไรมากระทบ แต่ว่าทำอย่างไรจะ ไม่ให้มีชาหรือมีกาแฟอยู่ในถ้วยของเรา เพราะถ้ามีชาหรือมีกาแฟอยู่ในถ้วยมันก็กระฉอกออกมาได้ง่าย ทำให้พื้นเลอะเทอะหรือว่าเปรอะเปื้อนเสื้อผ้า
อันนี้ก็พูดเป็นนัยยะว่า แทนที่เราจะไปหาทางเก็บกดอดกลั้นหรือว่าสร้างเกราะ ไม่ให้มีอะไรมากระทบกับอารมณ์ภายใน จะดีกว่าไหมถ้าหากว่าทำให้ถ้วยนั้นไม่มีชาหรือกาแฟอยู่ข้างใน เพราะว่าถ้าขืนมีชามีกาแฟข้างใน พอมีอะไรกระทบ มันก็กระฉอก
อันนี้เขาหมายความว่า ถ้าเรารู้จักเติมอารมณ์ที่เป็นบวกไว้ในใจ มันจะดีกว่าหรือเปล่า เพราะว่าที่ผ่านมาคนเรานี้เปิดรับอารมณ์ที่มันเป็นลบ เราก็เลยจำเป็นต้องป้องกัน ไม่ให้อารมณ์ที่เป็นลบมันกระฉอกออกมา ซึ่งมันก็ยากเพราะว่าพอมีอะไรกระทบ ถ้ายังมีอารมณ์ลบ ๆ อยู่ข้างใน มันก็กระฉอกออกมาได้ง่าย
ฉะนั้นจะดีกว่าถ้าเราเติมอารมณ์ที่เป็นบวก ถึงเวลามันมีอะไรมากระทบ อารมณ์ที่เป็นบวกกระฉอกออกมา มันก็ไม่เกิดความเสียหาย เขาหมายความว่าเราก็เติมความสุข ความเมตตา ความผ่อนคลายให้กับใจ อย่าปล่อยให้ความเครียด ความวิตกกังวล ความหงุดหงิดเข้ามาอยู่ในใจเราตั้งแต่แรก เพราะไม่อย่างนั้นมันก็จะสะสมอัดแน่น และพร้อมที่จะกระฉอกออกมาเมื่อมีอะไรมากระทบ ถึงแม้จะสร้างเกราะ ป้องกันอย่างไร มันก็ป้องกันไม่ไหว
อันนี้ก็เป็นเรื่องที่น่าพิจารณา เพราะว่าวัน ๆ หนึ่งเราตื่นขึ้นมา เราอาจจะไม่รู้ตัวว่าเราเปิดรับอารมณ์ที่เป็นลบ ที่สร้างความเครียด ความวิตกกังวล ความขุ่นมัวในใจ อาจจะเริ่มต้นตั้งแต่เปิดโทรศัพท์มือถือ ข้อความในโซเชียลมีเดีย ใน Facebook ใน Line ล้วนแต่เต็มไปด้วยอารมณ์ที่เป็นลบ พอใจเราไปรับรู้เรื่องราวเหล่านั้น มันก็เหมือนกับเปิดรับอารมณ์ที่เป็นลบเข้ามาข้างใน
แต่ถ้าเราเปิดรับอารมณ์ที่เป็นบวก เช่น เราตื่นขึ้นมา แทนที่จะไปเปิดโทรศัพท์มือถือแล้วก็รับอารมณ์ที่เป็นลบขุ่นมัวเข้ามาไว้ในใจ เราก็อาจจะนั่งสมาธิ หรือว่าอาจจะเปิดใจชื่นชมธรรมชาติ รับรู้ความงดงามของธรรมชาติ มันก็เหมือนกับว่าเติมอารมณ์ดี ๆ เข้าไปในใจ มีอะไรมากระทบ ถ้ามันจะกระฉอกออกมา มันก็เป็นแต่อารมณ์ดี ๆ
แต่ถ้าจะให้ดียิ่งกว่านั้นก็คือว่า ทำแก้วให้มันว่างเสีย แก้วถ้ามันว่าง อะไรมาชน ใครมาชนเรา มันก็ไม่มีอะไรกระฉอก แก้วที่ว่างหมายความว่าอะไร ก็หมายถึงว่า ให้ใจมันว่างจากความคิด
เพราะถ้าเกิดว่า แม้จะไม่ได้เปิดโทรศัพท์มือถือ แต่ว่าคิดโน่นคิดนี่ คิดถึงถึงเรื่องงานการที่จะต้องทำ คิดถึงปัญหาที่มีอยู่ ก็ทำให้เกิดความเครียด แล้วบางทีใจก็ไปนึกถึงอดีตบ้าง ทำให้เกิดความหม่นหมอง โดยเฉพาะไปคิดถึงเรื่องราวที่ไม่ค่อยดี บางทีความคิดของเรานี้มันก็เหมือนกับเป็นตัวเติมอารมณ์ลบ ๆ เข้าไปในใจ เหมือนกับเติมชาหรือเติมกาแฟไว้ในถ้วย
แต่นอกจากการเติมอารมณ์ที่เป็นบวกจากการที่เราเปิดใจรับสิ่งดี ๆ ทุกเช้า หรือตั้งแต่เช้า เราก็ทำใจหรือเปิดรับความรู้สึกตัว ทำใจให้ว่างจากความคิด เวลาเราตื่นเช้าขึ้นมา เราเก็บที่นอน ใจเราก็อยู่กับการเก็บที่นอน เวลาเราอาบน้ำ ถูฟัน ล้างหน้า ให้ใจเราก็อยู่กับการทำอิริยาบถต่าง ๆ เหล่านี้ ช่วงนั้นมันคือการเติมความว่างให้ใจ
เพราะว่าเวลาใจมันเผลอคิดโน่นคิดนี่แล้ว ก็ทำให้จิตใจเกิดความขุ่นมัวแล้วเรามีสติ มันมีความรู้สึกตัว ใจมันก็จะว่างจากความคิด เราสามารถเติมความว่างให้ใจได้จากการที่เรามีสติอยู่กับการทำกิจต่าง ๆ ตั้งแต่ตื่นนอนขึ้นมา เรียกว่าเป็นการเติมความว่างให้ใจ
ถ้าเกิดว่าถ้วยกาแฟมันว่าง ใครมาชนเรามันก็ไม่มีอะไรกระฉอก ไม่มีทั้งชา ไม่มีทั้งกาแฟ ไม่มีทั้งน้ำเปล่าหรือน้ำอัดลม เช่นเดียวกันเราต้องรู้จักเติมความว่างให้ใจบ้าง ด้วยการที่เรามีสติ มีความรู้สึกตัวอยู่กับการทำกิจต่าง ๆ โดยเฉพาะการทำกิจที่ไม่ต้องใช้ความคิดมาก ฉะนั้นเวลากินข้าว ถ้าเราเอาใจอยู่กับการกินข้าว มันเผลอคิดไปเรื่องใด ก็รู้ทัน แล้วก็วาง ตอนนั้นใจก็ว่างได้ ว่างจากความคิด ว่างจากอารมณ์
อย่างไรก็ตาม อารมณ์บางอย่าง อารมณ์หลาย ๆ อย่างมันไม่ได้เกิดจากการที่ใจเราเปิดรับจากภายนอก ไม่ใช่ว่าเปิดรับอารมณ์จากภายนอก เช่น จากโทรศัพท์มือถือ จากการพูดคุยกับคน ความจริงก็คือว่า อารมณ์หลายอย่างมันเกิดจากการปรุงแต่งข้างใน อย่าได้เข้าใจว่าเป็นเพราะใจมันเปิดรับจากภายนอก
เพราะว่าบางครั้งข้างนอกแม้มันจะดี ราบรื่น สงบ แต่ถ้าเราปล่อยให้มีการปรุงแต่งจากข้างใน มันก็มีอารมณ์ลบ ๆ เกิดขึ้นได้ ไม่ใช่จากข้างนอก แต่เกิดจากการปรุงแต่งข้างใน
การปรุงแต่งที่ว่าก็คือว่า เวลาได้ยินได้เห็นอะไร ถ้าเราคิดว่ามันไม่ถูก มันผิดกาลเทศะ หรือว่ามันน้อยไป มันน่าจะมากกว่านี้ ได้ยินเสียงก็ไปให้ค่า ตีความว่าเป็นเสียงรบกวน ผิดกาลเทศะ หรือว่าปรุงแต่งตัวกูขึ้นมา มีใครพูดกระทบตัวกูก็เกิดความโกรธขึ้นมา มันเป็นอารมณ์ที่เกิดขึ้นจากการปรุงแต่งในใจ ไม่ได้เกิดจากการเปิดรับข้างนอก
อันนี้เราก็ต้องระมัดระวังด้วย แม้ใจเราจะเปิดรับอารมณ์ที่ดี ๆ จากภายนอก แต่ถ้าเราไม่รู้เท่าทันการปรุงแต่งภายใน มันก็สามารถจะมีอารมณ์ลบ ๆ เกิดขึ้นจากข้างในได้ จากการปรุงแต่ง จากการให้ค่าว่าน้อย ว่าไม่ถูก หรือว่าผิดกาลเทศะ สารพัด แม้แต่เสียงไพเราะ ถ้าเรามองว่าเป็นเสียงรบกวน มันก็เกิดความไม่พอใจขึ้นมาได้
เพราะฉะนั้น สิ่งที่จะต้องทำคือว่า ทำอย่างไรเราไม่ปรุงแต่ง ไม่เผลอปรุงแต่งให้เกิดอารมณ์ที่เป็นลบ เมื่อไรก็ตามที่เราหลงหรือว่าเราไปให้กิเลสครองใจ มันก็จะปรุงแต่งอารมณ์ที่เป็นลบ ๆ ขึ้นมาได้ เราเรียกรวม ๆ ว่า ความหลง
ตราบใดที่ใจมันมีความหลงมันก็สามารถจะปรุงแต่งอารมณ์ลบ ๆ ขึ้นมาจากภายใน ไม่จำเป็นต้องเปิดรับจากภายนอกเสมอไป แต่ถ้าหากว่าเรารู้ทันการปรุงแต่งนั้น เวลามันปรุงแต่งให้ค่าในทางลบเราก็รู้ มันก็ช่วยทำให้ไม่เกิดอารมณ์ลบ ๆ ขึ้นมาในใจได้
ซึ่งตรงนี้สติมีความสำคัญ เพราะถ้าหากว่าเรามีสติรับรู้เมื่อมีการกระทบ เรียกว่าเกิดผัสสะขึ้นมา จริง ๆ เมื่อเกิดผัสสะรับรู้ทางตา รับรู้ทางหู มีรูป รส กลิ่น เสียง สัมผัสกระทบ อารมณ์ไม่ได้เกิดขึ้นทันที มันเกิดขึ้นเมื่อมีการปรุงแต่ง เมื่อมีการให้ค่า ว่าไม่ดี ถ้าให้ค่าไม่ดีก็ทุกข์ ถ้าให้ค่าว่าดีก็สุขหรือว่าดีใจ การปรุงแต่งที่มันเกิดขึ้นด้วยความหลงนี้มันเป็นตัวสร้างอารมณ์ภายใน
พูดอีกอย่างก็คือว่า ไม่ต้องรอให้ใครมาเติมชาเติมกาแฟในถ้วย แต่ว่าใจเราเองที่มันไปเติมกาแฟเติมชาขึ้นมา พอมีอะไรมากระทบมันก็กระฉอก เพราะฉะนั้นเราต้องรู้ทัน รู้ทันการปรุงแต่ง รู้ทันเมื่อมีการกระทบ
เพราะฉะนั้นการเก็บกดอดกลั้นหรือการสร้างเกราะป้องกันไม่ให้อะไรมากระทบกับอารมณ์ภายในมันก็ดีอยู่ แต่มันไม่พอ เราก็ต้องรู้จักเปิดรับอารมณ์ที่เป็นบวก แล้วก็พยายามไม่เปิดรับอารมณ์ที่เป็นลบ
แต่เท่านั้นยังไม่พอ เพราะว่าอารมณ์ที่เป็นลบ บ่อยครั้งก็เกิดขึ้นจากการปรุงแต่งข้างใน ปรุงแต่งในใจเรา มีการตีค่า มีการให้ค่า แม้กระทั่งการไปคิดว่าเป็นเรา เป็นของเรา มีตัวกูขึ้นมา พออะไรมากระทบตัวกู มันก็เกิดความไม่พอใจ เกิดความขุ่นมัวขึ้นมา
อย่างชายคนนี้ พอไปยึดหรือไปเข้าใจว่าเป็นรถของกู รถของกู พอมีรถอีกคันหนึ่งเข้ามาชน แม้จะชนเบา ๆ ก็เกิดความไม่พอใจ แต่ถ้าเขาตระหนักว่ามันไม่ใช้รถของเรา เป็นรถที่เช่า ไม่ได้เสียหายอะไรเพราะว่ารถเขาก็มีประกันอยู่แล้ว ไม่ได้เดือดร้อนอะไร
ฉะนั้นการที่เรารู้ทัน มีสติรู้ทันการปรุงแต่งนี้สำคัญ พอเราปรุงแต่งว่าเหม็น เราก็ทุกข์ พอเราปรุงแต่งว่าหอม เราก็มีความสุข กลิ่นบางกลิ่นนี้ถ้าเกิดเราไปสำคัญว่ามันเป็นกลิ่นเน่า เราจะรู้สึกเหม็นทันทีเลย แต่พอเราเกิดความรับรู้ว่ามันไม่ใช่กลิ่นเน่า มันเป็นกลิ่นที่เป็นอาหารหมัก ก็จะเกิดความรู้สึกพอใจขึ้นมาเลย กลิ่นเดียวกันนี้หรือเสียงเดียวกันนี้ ถ้าปรุงแต่งในทางลบก็ทุกข์ ถ้าปรุงแต่งในทางบวกก็สุข
ฉะนั้นเราก็ต้องรู้ทันการปรุงแต่งที่ว่านี้ หรือพูดอีกอย่างก็คือว่า อย่าปล่อยใจให้มันหลง ถ้าหลงเมื่อไร มันก็สามารถจะปรุงแต่งให้เป็นทุกข์ได้ เมื่อไรก็ตามที่เรารู้ตัว มันก็เป็นการรับรู้แบบเฉย ๆ เมื่อตาเห็นรูปก็สักแต่ว่าเห็น เมื่อหูได้ยินเสียงก็สักแต่ว่าได้ยิน มันเป็นการรับรู้ที่เป็นกลาง ๆ
ฉะนั้นการที่เรารับรู้สิ่งที่มากระทบหรือว่ามีสติเมื่อเกิดผัสสะนี้สำคัญมาก แม้ว่าจะเจอโชคเจอลาภ แต่ถ้ารู้สึกว่ามันน้อย ก็ไม่พอใจ ได้โชคได้ลาภแต่เห็นคนอื่นเขาได้มากกว่าก็เกิดความไม่พอใจ มันไม่ใช่ว่าจะต้องรับรู้สิ่งดี ๆ ถึงจะเกิดความสุขหรือความพอใจ แม้มีสิ่งดี ๆ แต่ปรุงแต่งในทางลบ มันก็เป็นทุกข์ได้
ฉะนั้นการที่เรารู้ทัน ใจเวลามันมีการกระทบ มีผัสสะ แล้วมันมีการปรุงแต่ง มันก็ช่วยทำให้ไม่เกิดอารมณ์ที่เป็นลบ ๆ ขึ้นมาได้ ซึ่งก็ช่วยทำให้เวลาเราอยู่ในสิ่งแวดล้อมที่แม้จะสงบหรือว่าแม้จะราบรื่นเพียงใด แต่ถ้าหากว่าเราไม่รู้ทันการปรุงแต่ง มันก็เกิดความหงุดหงิด เกิดความไม่พอใจ เกิดความอ้างว้าง เกิดความสับสน หรือว่าฟุ้งซ่านขึ้นมาได้ นี่เพราะขาดสติทั้งนั้น
ฉะนั้นการเก็บกดอดกลั้นหรือขันติ ก็สำคัญ อันนี้ก็เป็นวิธีการในการที่เราจะป้องกันไม่ให้เกิดการกระทบกระทั่งจนบานปลาย หรือที่เขาใช้คำว่าระเบิดออกมา แต่ก็ยังไม่พอ ต้องรู้จักมีสติด้วย มีสติที่จะช่วยให้ไม่เกิดอารมณ์ที่เป็นลบ หรือถึงแม้จะเกิดอารมณ์ที่เป็นลบก็รู้จักวางได้
เพราะว่าคนเราปุถุชน อารมณ์ที่เป็นลบเกิดขึ้นได้เสมอเมื่อมีการกระทบเพราะว่าไม่ทันการปรุงแต่ง แต่เมื่อมันเกิดขึ้นแล้วก็ยังปล่อยหรือวางได้
มีความโกรธก็รู้ทันแล้วก็วาง มีความโมโหเกิดขึ้นแล้วก็รู้ทัน มีความเศร้าเกิดขึ้นก็รู้ทัน มีความเครียดเกิดขึ้น รู้ทัน วาง มันก็ทำให้ไม่จำเป็นต้องเก็บกด เพราะมันไม่มีอารมณ์ใดที่หลงเหลือ ไม่จำเป็นต้องมีเกราะที่จะป้องกันไม่ให้มีอารมณ์มากระทบ เพราะว่าอารมณ์มันก็เลือนหายไปเมื่อเราปล่อยเราวาง.
...