พระอาจารย์ไพศาล วิสาโล วัดป่าสุคะโต แสดงธรรมเย็นวันที่ 25 มกราคม 2567
ได้ดูคลิปสั้นๆ คลิปหนึ่งที่เขาตัดตอนมาจากสารคดีชีวิตสัตว์ เข้าใจว่าเป็นของ BBC เป็นเรื่องของนกเพนกวินในขั้วโลกเหนือ นกเพนกวินต้องยังชีพด้วยการกินปลา เพราะฉะนั้นมันจำเป็นต้องลงน้ำแหวกว่ายหาปลา ขณะที่กำลังหาปลาอยู่ ปรากฏว่ามีแมวน้ำตัวหนึ่งเห็น แล้วว่ายตรงรี่มาที่เพนกวินตัวนี้เลย เพราะว่าเพนกวินคืออาหารของแมวน้ำ
เพนกวินตัวนี้ก็พยายามว่ายน้ำหนีอันตราย มันปราดเปรียวว่องไวมาก ช่างภาพสารคดีก็เก่ง ลงไปใต้น้ำแล้วถ่ายภาพตาม นกเพนกวินพยายามที่จะหลบหลีกแมวน้ำ แต่แมวน้ำก็ไม่ลดละ จะเลี้ยวลดอย่างไร แมวน้ำก็ไล่ตาม ประชิดเลย แล้วก็คงเป็นเพราะว่าเพนกวินเริ่มอ่อนแรง เพราะว่าว่ายหนีมานาน สุดท้ายก็โดนแมวน้ำจับได้ มันคาบตัวเพนกวินขึ้นมาลอยอยู่เหนือน้ำ
ธรรมชาติของสัตว์เวลามันเจอภัยคุกคาม โดยเฉพาะถ้าอยู่ในปากของศัตรู มันก็ต้องดิ้น ดิ้นสุดชีวิต แต่ปรากฏว่าเพนกวินตัวนี้ทำตรงข้าม คือแกล้งตาย นิ่งเลย ซึ่งก็คงไม่ใช่ง่ายสำหรับสัตว์ เพราะว่าสัตว์เวลาเจออันตรายถ้าไม่สู้ก็หนี แต่เพนกวินตัวนี้แกล้งตาย
แมวน้ำก็คงคิดว่าเพนกวินตายแน่แล้ว ด้วยความที่มันคงเหนื่อย มันก็เลยปล่อยเพนกวินออกจากปากของมัน ขณะที่เพนกวินรออยู่บนผิวน้ำ จู่ๆ เพนกวินก็รีบว่ายน้ำหนีเลย มันเปลี่ยนโหมดทันทีเลย จากโหมดที่นิ่งสงบ ไม่กระดิกกระเดี้ย กลายเป็นโหมดที่เต็มไปด้วยชีวิตชีวามาก วิ่งว่ายน้ำหนีอย่างรวดเร็ว
แมวน้ำพอรู้ว่า เสียรู้แล้ว พยายามไล่ตาม แต่คราวนี้ไม่ทันแล้ว เพราะเพนกวินพอมันไปเจอก้อนน้ำแข็งที่กำลังลอยน้ำอยู่ มันก็รีบกระโจนขึ้นก้อนน้ำแข็งไปเลย เป็นอันรอดตาย รอดตายเพราะอะไร เพราะว่าแกล้งตาย โดยทำตัวนิ่งๆ มันเป็นอุบายที่ฉลาดมาก เป็นอุบายที่ไม่ใช่ทำได้ง่ายๆ นอกจากมีปัญญาแล้วหรือมีหัวคิดแล้ว ถ้าพูดภาษาของมนุษย์เราคือ ต้องมีสติด้วย เพราะต้องหักห้ามใจไม่ให้กระดิกกระเดี้ย ไม่ให้รนหรือว่าดิ้นอยู่ในปากของแมวน้ำ มันเป็นอุบายที่ทำให้เพนกวินรอดตาย
จริงๆ วิธีการหรืออุบายของเพนกวินก็เป็นสิ่งที่มนุษย์เราควรจะเรียนรู้ เพราะบางครั้งคนเราก็เจออันตรายที่ประชิดตัว ถึงตอนนั้นจะสู้ก็สู้ไม่ได้ ขืนสู้ก็ยิ่งทำให้สถานการณ์เลวร้ายลง ถึงตายได้ หนทางเดียวที่จะช่วยได้คือการนิ่ง เหมือนแกล้งตายเหมือนกับตาย
หลวงพ่อลี ธัมมธโร ท่านเล่าว่าตอนที่ท่านธุดงค์ไปในป่าลึก ก็ไปเจอชาวบ้าน 2 คนผัวเมีย อายุมากแล้วระดับผู้เฒ่าได้ สองคนนี้เล่าว่าเมื่อไม่กี่วันนี้ไปหาของป่าในป่าลึกเลย ปรากฏว่าหาเพลิน จู่ๆ ก็ไปปะซึ่งๆ หน้ากับหมีตัวใหญ่เลย มันประชิดตัวเลย แม่เฒ่าหนีทันรีบวิ่งขึ้นต้นไม้ แต่พ่อเฒ่าหนีไม่ทันก็เลยถูกหมีทำร้าย
ธรรมชาติของคนเราพอถูกสัตว์ทำลายก็ต้องสู้ พ่อเฒ่าแกก็สู้ แต่สู้ไม่ไหวเพราะหมีแรงเยอะมาก ขณะที่กำลังจะพลาดท่าเสียที แม่เฒ่าก็ตะโกนมาจากต้นไม้ว่าให้แกล้งตาย อย่ากระดิกกระเดี้ย พ่อเฒ่าแกก็ได้สติ ตอนนั้นจวนตัวอยู่แล้ว เลยนอนแผ่ลงบนพื้น แล้วก็นิ่งไม่ไหวติง หมีก็นึกว่าพ่อเฒ่าตายแล้ว เพราะว่ามันพยายามเอาเท้าเขี่ยหัว เขี่ยลำตัว เขี่ยขา พ่อเฒ่าแกก็ไม่ต่อต้าน ก็ยอม มันจะเขี่ยไปทางไหนก็ไหลไปตามนั้น ไม่มีการต่อต้านขัดขืน
ซึ่งก็ไม่ใช่ง่าย พ่อเฒ่าบอกว่าตอนนั้นต้องภาวนาพุทโธเลย เพราะว่าความกลัวมันก็มี ธรรมชาติของคนเราพอกลัวมันอยู่เฉยไม่ได้ มันต้องหนีหรือไม่ก็สู้ แต่ก็หนีไม่ทัน สู้ก็ไม่ได้ อาศัยพุทโธสะกดให้ใจมีสติ ทำให้ใจข่มความกลัว อาศัยสติรักษาใจ ทำให้สามารถจะอยู่นิ่งได้
พอหมีมันนึกว่าคนตายแล้ว มันจึงผละออกไป เพราะหมีมันไม่กินคนอยู่แล้ว เป็นอันว่าผู้เฒ่ารอดตาย รอดตายเพราะอะไร เพราะว่าแกล้งตาย นิ่ง ไม่ต่อสู้ ไม่ขัดขืน เรียกว่ายอม
หลวงพ่อลีท่านได้ฟัง ท่านก็เลยสรุปว่า คนเราจะพ้นตายได้ก็ต้องทำตัวเหมือนคนตาย ซึ่งไม่ใช่ง่ายที่คนเราเวลาเจออันตรายมาประชิดตัวแล้วจะอยู่นิ่งได้ สัญชาตญาณของคนเราถ้าไม่หนีก็สู้ หรือไม่ก็ขัดขืนต่อต้าน แต่ในบางครั้งการอยู่นิ่งกลับเป็นวิธีการที่ดีกว่า และสามารถจะทำให้รอดตายได้
อย่างผู้หญิงคนหนึ่งเล่าว่า วันหนึ่งขับรถแต่เช้าเลย ขึ้นทางด่วน ทางด่วนต้องขับเร็วๆ ประเภทร้อยกว่ากิโลเมตรต่อชั่วโมง พอถึงโค้ง พ้นจากโค้งไป ก็ปรากฏว่าเจอรถติดเป็นแพเลย เธอก็เลยชะลอรถ
ขณะที่รถกำลังใกล้จะถึงคันที่จอดอยู่ข้างหน้า เธอมองไปที่กระจกหลัง เห็นรถอีกคันหนึ่งพุ่งตรงมาอย่างแรงเลย แล้วก็ไม่มีทีท่าว่าจะชะลอ ทั้งๆ ที่ใกล้จะถึงรถของเธอแล้ว ข้างหน้าก็กำลังจะต่อท้ายรถอีกคันหนึ่ง ส่วนข้างหลังรถอีกคันหนึ่งก็กำลังจะพุ่งเข้ามาชน ตอนนั้นเธอรู้เลยว่าต้องโดนอัดก๊อปปี้แน่ คิดว่าอาจจะแรงจนถึงตายได้
พอนึกถึงความตายขึ้นมา เธอก็สังเกตว่ามือเธอจับพวงมาลัยไว้แน่นเลย ใจตอนนั้นเครียด เกร็งมากด้วยความตื่นกลัว ชั่วขณะนั้นเอง เธอมาได้คิดว่าชีวิตฉันเครียดมาทั้งชีวิตแล้ว ถ้าจะตายก็ขอตายแบบผ่อนคลายสบายดีกว่า
ตอนนั้นเรียกว่าเธอทำใจพร้อมตายเลย ซึ่งก็ไม่ใช่ง่าย เพราะธรรมชาติของคนเรา พอความตายใกล้เข้ามา มันต้องต่อสู้ขัดขืน ซึ่งก็แสดงออกจากอากัปกิริยาของเธออยู่แล้ว มือที่กำพวงมาลัยแน่น แล้วใจที่ตื่นตระหนกแล้วเครียดเกร็ง แต่ว่าสติมันบอกเธอว่า ในเมื่อจะตายก็ขอให้ตายแบบสบายแล้วกัน อย่าเครียดอย่าเกร็งอย่างที่เคยเป็นเลย
พอคิดอย่างนั้น เธอก็ปล่อยมือจากพวงมาลัยแล้วก็หลับตา น้อมจิตไปที่ลมหายใจ แล้วเสียงดังสนั่นก็เกิดขึ้น รถเธอถูกอัดก๊อปปี้ มารู้ตัวอีกทีปรากฏว่าตำรวจกำลังดึงเธอออกมาจากรถ สภาพของรถเธอยับเยินทั้งข้างหน้าข้างหลังเลย แล้วตำรวจก็บอกว่าไม่น่าเชื่อว่าเธอจะรอดได้ เพราะว่าปกติแล้ว รถถูกอัดก๊อปปี้แบบนี้ไม่รอดแน่
ตอนหลังพอได้ฟังสิ่งที่เธอทำก่อนที่รถจะถูกอัดก๊อปปี้ ตำรวจจึงเข้าใจ ตำรวจบอกว่าถ้าคุณเกร็ง คุณก็คงจะคอหักไปแล้ว แต่ที่คุณรอดตายเพราะคุณปล่อยทุกอย่างเลย พอปล่อยทุกอย่างแรงกระแทกมันก็เลยไม่ทำร้ายร่างกายเธอมาก ถ้าเธอเกร็ง คอหักไปแล้ว
อะไรทำให้เธอไม่เกร็ง อะไรที่ทำให้เธอผ่อนคลาย ก็เพราะเธอพร้อมแล้ว พร้อมจะตาย ยอมตายแล้ว ซึ่งก็ไม่ใช่เรื่องง่าย เพราะคนเราเมื่ออันตรายมาใกล้ตัว ธรรมชาติมันจะไม่ยอมให้คนเราอยู่นิ่ง จะต้องต่อสู้อย่างที่ว่า ถ้าไม่หนีก็สู้ สู้ก็คือการพยายามเกร็ง พยายามผลักไส ใจไม่ยอมรับ แต่เพราะใจเธอยอมรับ ตัวเธอเลยนิ่งผ่อนคลาย ก็เลยรอดตาย
สอดคล้องกับที่หลวงพ่อลีท่านพูด คนเราจะพ้นตายได้ ต้องทำตัวเหมือนคนตาย ทำตัวเหมือนคนตายในที่นี้ไม่ใช่หมายความเพียงแค่ว่าทำตัวนิ่งๆ ไม่กระดิกกระเดี้ยเท่านั้น แต่รวมถึงว่าใจมันพร้อมด้วย
คนเราบางครั้งมาอยู่ในสถานการณ์ที่แม้เราไม่ต้องการ แต่ว่ามันหนีไม่พ้น และในสถานการณ์นั้น การอยู่นิ่งๆ ยอมรับทุกอย่างที่เกิดขึ้นอาจจะเป็นวิธีการที่ดีกว่า เพราะนอกจากจะไม่ทำให้ทุกข์ทรมานแล้ว อาจจะทำให้รอดตายก็ได้
ศิลปะของการนิ่งเมื่อเจอปัญหา เจออันตราย มันเป็นเรื่องที่ทำได้ยาก แต่ว่าเราก็ต้องเรียนรู้การยอมรับสิ่งที่เกิดขึ้น เพราะถ้าเราไม่ยอมรับสิ่งที่เกิดขึ้น ใจมันจะเป็นทุกข์มาก เพราะว่าใจมันจะผลักไส ขึ้นชื่อว่าการผลักไสของใจแล้ว ไม่ว่าเรื่องอะไร เรื่องเล็กเรื่องน้อยแค่ไหน มันก็ทำให้ทุกข์ได้
เจอรถติดทำไมคนถึงทุกข์กัน เพราะว่าใจมันไม่ยอมรับ อาจจะเป็นเพราะความคิดมันปรุงแต่งสารพัดเลย ว่าถ้ารถติดนานกว่านี้ จะไปส่งลูกช้า ไปทำงานสาย ตกเครื่องบิน เจอนั่นเจอ พอคิดเช่นนี้มันก็ทุกข์แล้ว และมันทำให้กระวนกระวาย กระสับกระส่าย แทนที่จะแค่เสียเวลา ก็กลายเป็นเสียอารมณ์ แต่เป็นเพราะเราไม่รู้จักฝึกให้ยอมรับสิ่งที่เกิดขึ้นด้วยใจที่สงบ เราจึงสร้างทุกข์ให้กับตัวเองมากมายตลอดทั้งวัน เพราะว่าตลอดทั้งวัน ก็จะมีเรื่องที่ไม่ถูกใจเรา ไม่เป็นดั่งใจ ไม่เป็นไปดังคาดหวัง
สถานการณ์บางอย่างมันก็เปลี่ยนแปลงได้ แต่บางอย่างก็เปลี่ยนแปลงไม่ได้ จริงๆ แล้วในโลกนี้ สิ่งที่เราเผชิญไม่ว่าจะมีกี่ร้อยกี่พันกี่หมื่นอย่าง สุดท้ายก็สรุปได้แค่ 2 อย่างก็คือ เปลี่ยนแปลงได้กับเปลี่ยนแปลงไม่ได้
สถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลงไม่ได้ เวลาเราเจอมัน ไม่มีอะไรดีกว่าการที่เรายอมรับมัน เพราะถ้าเราไม่ยอมรับมัน ถ้าเราไม่รู้จักนิ่ง เราก็จะทุกข์มาก และเผลอๆ ก็อาจจะเอาตัวไม่รอด อย่างเช่นตัวอย่างที่เล่ามา ไม่ว่าจะเจอหมีที่เข้ามาประชิดตัว สู้กับมันอย่างไรก็สู้ไม่ได้ หรือว่าเจอรถที่กำลังจะตกอยู่ในสภาพถูกอัดก๊อปปี้ ไม่มีทางหนีพ้นจากสถานการณ์นี้ได้ อันนี้เรียกว่าเป็นสถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลงไม่ได้ เมื่อเราไม่มีทางหนีพ้น วิธีที่ดีที่สุดก็คือยอมรับมัน อย่างน้อยใจก็ไม่ทุกข์
การยอมรับมันก็แสดงออกด้วยการนิ่ง ซึ่งสำหรับคนในยุคปัจจุบัน การนิ่งมันเป็นเรื่องที่ไม่เข้าท่า มันต้องสู้ แต่บางทีการนิ่งกลับยากกว่าการสู้ หรือว่าการขัดขืนต่อต้าน และมันอาจจะเป็นวิธีที่ดีกว่าก็ได้
ที่จริงแม้จะยังไม่เจออันตรายที่มาประชิดตัว แต่เมื่อเรารู้ว่ามันมีโอกาสจะเกิดขึ้นได้แน่ๆ ในยามนั้น สิ่งที่ดีกว่าก็คือการที่เรารักษาใจให้เป็นปกติ หรือถ้าให้ดีกว่านั้นคือ ทำใจให้สบายผ่อนคลาย ทั้งๆ ที่อันตรายอาจจะมาถึงในอีกไม่นาน อีกไม่กี่นาทีข้างหน้า หรืออีกไม่กี่วันข้างหน้าก็ได้ ในเมื่อมันยังมาไม่ถึง จะกลุ้มอกกลุ้มใจ จะตื่นตระหนกไปทำไม ไม่ดีกว่าหรือถ้าหากเราจะใช้เวลาที่มีอยู่ในการเก็บเกี่ยวความสุขเท่าที่เราจะหาได้
มีทหารหนุ่มชาวอังกฤษคนหนึ่ง สมัยสงครามโลกครั้งที่ 2 เขาถูกส่งไปที่ประเทศพม่า พม่าตอนนั้นเป็นอาณานิคมของอังกฤษ ปรากฏว่าต้องต่อสู้กับกองทัพญี่ปุ่นที่เข้ามายึดไทยแล้วก็มายึดพม่า หน้าที่ของทหารอังกฤษคือต่อสู้
มีอยู่คราวหนึ่ง กองร้อยของนายทหารคนนี้ออกไปลาดตระเวนในป่าลึกในพม่า มีช่วงหนึ่งมีการพักแรมกัน แต่ระหว่างที่พักแรมอยู่ ก็ปรากฏว่าแมวมองมารายงานว่า มีกองทัพญี่ปุ่นทหารมีเป็นพันเลย กำลังยาตราใกล้เข้ามา นายทหารคนนั้นทีแรกเข้าใจว่าผู้บังคับบัญชาจะสั่งให้สู้ ชายชาติทหารเมื่อถึงสถานการณ์จวนตัวก็ต้องสู้ แม้ตายก็ยอม อย่างน้อยก็ได้สู้ แล้วก็ได้ฆ่าทหารญี่ปุ่นบ้าง ไม่ใช่ว่าตายฟรี
ปรากฏว่าผู้บังคับบัญชาบอกว่า ไม่ต้องทำอะไร อยู่เฉยๆ แล้วสั่งให้ลูกน้องต้มชาแจกกัน ทหารหนุ่มชาวอังกฤษคนนี้งงเลย ทำไมผู้บังคับบัญชาสั่งแบบนี้ กำลังจะตายอยู่แล้ว หรืออย่างน้อยก็อาจจะถูกจับไปทรมาน กลับผ่อนคลายกินชากัน ระหว่างที่กินชา ปรากฏว่าก็มีแมวมองมารายงานว่า ตอนนี้กองทัพญี่ปุ่นเดินผ่านไปแล้ว เป็นอันรอดตาย ไม่มีใครบาดเจ็บหรือว่ามีการสูญเสียลี้พลเลย
ทหารหนุ่มคนนี้เขาบอกว่า นับถือผู้บังคับบัญชามาก ใจเย็นมาก ก็ยังถามว่าทำไมผู้บังคับบัญชาจึงสั่งแบบนั้น คงเพราะรู้ว่า ในสถานการณ์แบบนี้ สู้ไปก็ตายเปล่า อยู่เฉยๆ ดีกว่า แล้วระหว่างที่อยู่เฉยๆ ก็อย่าปล่อยใจให้มันทุกข์ทรมานกับความกลัว ในเมื่ออันตรายยังมาไม่ถึง เราก็มีความสุข จิบน้ำชาไปพลางๆ ก่อน เมื่อปัญหามาถึงแล้วค่อยว่ากัน
ก็เป็นการวางใจที่ดี ในแง่หนึ่งมันก็ทำให้ทั้งกองร้อยรอดตาย และในขณะเดียวกันก็ได้คิดว่า คนเราเมื่อปัญหายังมาไม่ถึง แม้จะจวนตัวแล้วก็ตาม ก็อย่าปล่อยใจให้จมอยู่กับความทุกข์เลย ขณะที่ยังมีเวลาที่จะหาความสุขได้ หรือมีความสุขเล็กๆ น้อยๆ ก็ใช้เวลานั้นทำใจให้มีความสุขดีกว่า อันนี้ก็เรียกว่าการอยู่กับปัจจุบันอย่างหนึ่ง ซึ่งสำหรับคนเรา ก็คงมีสักครั้งสองครั้งที่เราต้องเผชิญกับปัญหาที่ร้ายแรง เพียงแต่ว่ามันยังมาไม่ถึง แต่ใกล้เข้ามาแล้ว
อย่างคนที่เป็นมะเร็งโดยเฉพาะเมื่อมะเร็งมันอยู่ในระยะท้ายๆ วาระสุดท้ายจะมาถึงเมื่อไหร่ก็ไม่รู้ แต่จะดีกว่า แทนที่จะไปปล่อยใจ ไปพะวง หรือกลัดกลุ้มกับความตายที่ยังมาไม่ถึง หรือความทุกข์ทรมานที่ยังมาไม่ถึง ในช่วงที่ยังไม่ได้เจอปัญหาเหล่านี้ ก็ใช้ชีวิตอย่างมีความสุข อยู่กับคนรัก ทำสิ่งดีๆ ให้แก่กันและกัน
ความสุขเล็กๆ น้อยๆ อะไรที่สามารถจะทำได้ก็ใช้เวลานั้นทำ ดีกว่าไปจมอยู่ในความทุกข์ เพราะเอาแต่นึกถึงความทุกข์หรือความตายที่กำลังจะมา ก็ในเมื่อมันยังมาไม่ถึง จะไปทุกข์กับมันทำไม ถ้าเราสามารถที่จะเก็บเกี่ยวความสุขเล็กๆ น้อยๆ ในชีวิตในปัจจุบันขณะได้ ก็เป็นสิ่งที่ควรทำ
แต่จะทำอย่างนี้ได้มันต้องมีสติ เพราะไม่อย่างนั้น ใจก็จะไปคิดไปพะวงถึงอันตรายหรือความตายที่อยู่ข้างหน้า ทั้งๆ ที่ยังมาไม่ถึงเลย แต่ก็ทุกข์ไปเสียแล้ว ในขณะที่มันยังมาไม่ถึง จะทุกข์กับมันไปทำไม อะไรดีๆ ที่เราสามารถทำได้ ก็ทำเสีย นั่งสมาธิ สวดมนต์ ทำดีกับคนที่เรารัก หรือว่าทำสิ่งที่มีประโยชน์
และเมื่อถึงเวลาที่อันตรายมาถึงตัว ก็จะดีกว่าถ้าหากเรายอมรับมัน เรียกว่าการนิ่งสงบ ไปต่อต้านขัดขืนก็ไม่มีประโยชน์ บ่อยครั้งเราคิดว่ามันต้องทำอะไร อยู่เฉยๆ ได้อย่างไร แต่บ่อยครั้งการทำนั่นทำกลับสร้างปัญหาให้มากกว่าก็ได้ อย่างเช่นคนป่วยระยะท้าย บางทีการยอมรับความตายที่มาถึงมันสร้างความทุกข์น้อยกว่าการที่ดิ้นรนเพื่อยื้อชีวิต การไปยื้อด้วยการทำโน่นทำสารพัด เจาะคอ ใส่ท่อ ปั๊มหัวใจ สารพัดพวกนี้ ดูเหมือนทำให้สบายใจว่าได้ทำอะไรให้กับเขาบ้าง แต่ว่ามันอาจจะเป็นการสร้างความทุกข์ทรมานให้กับเขาก็ได้
ขณะที่การที่ไม่ทำอะไรเลย หรือถ้าเป็นเจ้าตัวเอง การที่ไม่ไปดิ้นรนทำอะไรเลย แต่ยอมรับมัน อาจจะเป็นวิธีที่ดีกว่า เพราะถึงแม้จะหนีอันตรายไม่พ้น แต่ว่าใจก็ไม่ทุกข์ทรมาน แต่ก็ไม่แน่ พอวางใจดี ยอมรับมันได้ ก็อาจจะรอดตายหรือพ้นตายก็ได้ เช่นตัวอย่างที่เล่ามา
ฉะนั้นฝึกใจให้รู้จักนิ่ง ยอมรับสิ่งต่างๆ อาจจะเริ่มต้นจากสิ่งเล็กๆ น้อยๆ ในชีวิตประจำวันที่แม้จะแก้ไขได้ แต่ขณะที่ยังไม่ทันได้แก้ไข เราก็ยอมรับมัน นิ่งสงบ ต่อไปก็จะทำให้เรามีความสามารถในการที่จะนิ่งได้ แม้เจออันตรายที่หนักหนาสาหัสกว่า โดยเฉพาะปัญหาหรือสถานการณ์ที่ทำอะไรไม่ได้ หรือเจอปัญหาที่แก้ไม่ได้ เปลี่ยนแปลงอะไรไม่ได้
แต่ถึงแม้ปัญหามันจะยังเปลี่ยนแปลงได้ เช่น ป่วย ไม่สบาย ถ้าเรารักษาก็หาย ระหว่างที่ป่วยอยู่ก็ยอมรับมัน อย่างน้อยๆ ก็ป่วยแต่กาย ใจไม่ป่วย พอใจไม่ป่วยแล้ว ก็จะทำให้มีสติในการใช้ปัญญา แก้ปัญหา ไม่รน กระวนกระวาย อาจจะแก้ปัญหาได้ดีกว่าใจที่กระสับกระส่ายหรือตื่นตระหนกตกใจก็ได้
เพราะฉะนั้นไม่ว่าเราเจอสถานการณ์ที่ทำอะไรไม่ได้ หรือทำได้ก็ตาม เจอปัญหาที่แก้ได้หรือแก้ไม่ได้ก็ตาม การนิ่ง การยอมรับสิ่งที่เกิดขึ้น น่าจะเป็นอุบายที่ดีกว่า อย่างน้อยก็ไม่ทำให้สถานการณ์เลวร้ายไปกว่านั้น.