แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
วันนี้เป็นวันมงคล เพราะพวกเราได้พร้อมใจกันมาฟังธรรม นอกเหนือจากการสมาทานศีล รวมทั้งการถือเอาพระรัตนตรัยเป็นที่พึ่งที่ระลึกนึกถึง
มันมีคำถามคำถามหนึ่งซึ่งเรามักได้ยินอยู่บ่อยๆ โดยเฉพาะในแวดวงของคนที่สนใจธรรมะ แต่บางทีเราก็ถามคำถามนี้กับคนอื่นด้วย คำถามนั้นก็คือว่า เกิดมาทำไม จริงๆ แล้ว คำถามนี้ตอบยาก หรือว่าเราแต่ละคน ไม่อยู่ในฐานะที่จะตอบได้ ถ้าเกิดว่าเราเป็นผู้ถูกถาม เพราะเหตุว่า เราไม่ได้เป็นคนที่ทำให้ตัวเราเกิดมา เราถูกทำให้เกิดมามากกว่า การมาอยู่ในโลกนี้ มันไม่ใช่เป็นการตัดสินใจของเรา แต่มันเกิดจากเหตุปัจจัยต่างๆ มากมาย ในภาษาฝรั่ง เขาจะพูดในเรื่องนี้ไว้ชัด ในความหมายที่ว่าเราไม่ได้เกิดเอง แต่ว่าถูกทำให้เกิดมา เช่นคำว่า I was born นี่ was born แปลว่าถูกทำให้เกิด เพราะฉะนั้น ถ้าจะตอบกันจริงๆ ก็คงตอบไม่ได้ว่า ฉันเกิดมาทำไม
แต่ว่าคำถามหนึ่งที่น่าจะถามมากกว่าคือว่า เราอยู่ไปทำไม เราอยู่ไปเพื่ออะไร อันนี้เป็นสิ่งที่เราควรจะตอบได้ เพราะเหตุว่าการอยู่ หรือการมีชีวิตอยู่ของเรา มันเป็นการตัดสินใจของเราเอง เราไม่ได้ถูกทำให้อยู่ แต่เรามีชีวิตอยู่ด้วยการตัดสินใจของเรา จะโดยรู้ตัวหรือไม่รู้ตัวก็ตาม เช่นทุกวันเรากินข้าว คงไม่ใช่เพราะว่าเราหิว เราจึงกินข้าว แต่การที่เรากินข้าวนี่มันก็เป็นการแสดงว่า เราอยากจะมีชีวิตอยู่ มันไม่เหมือนการหายใจ การหายใจมันเป็นการหายใจโดยอัตโนมัติ แม้หลับแม้สลบ เราก็ยังหายใจ แต่การกินข้าวก็ดีเวลาหิว การไปหาหมอเวลาเจ็บป่วยก็ดี หรือว่าการข้ามถนนอย่างระมัดระวังก็ดี ทั้งหมดนี้มันแสดงว่า เราอยากมีชีวิตอยู่ และมันคงไม่ใช่เป็นเพราะเหตุผลว่าเรากลัวตาย หรือเราไม่อยากตายเท่านั้น เพราะฉะนั้นเมื่อเราอยากมีชีวิตอยู่ ก็ต้องมีคำตอบให้กับตัวเองได้ว่า เราอยากจะอยู่เพื่ออะไร
เมื่อเราตัดสินใจที่จะมีชีวิตอยู่ในโลกนี้ เราควรจะหาคำตอบให้ได้ว่า เราอยู่ไปเพื่ออะไร ทำไมเราอยากจะมีชีวิตอยู่ คำตอบว่าเรากลัวตาย เราจึงพยายามกระเสือกกระสนให้มีชีวิตอยู่ มันคงไม่ใช่คำตอบที่ดีเท่าไหร่ เพราะคนที่ตอบอย่างนั้น ก็คงอยู่อย่างไม่มีความสุข หลายคนพอไม่รู้ว่าอยู่ไปเพื่ออะไร และยิ่งอยู่ไปแล้วมันมีความทุกข์ เขาก็เลือกที่จะทำร้ายตัวเอง ตัดรอนชีวิตของตัวเอง ซึ่งก็เป็นปรากฏการณ์ที่เห็นอยู่มากมาย
อาตมาคิดว่าคำถามที่ว่า เราอยู่ไปเพื่ออะไรหรืออยู่ไปทำไม เป็นสิ่งที่เราแต่ละคนควรจะหาคำตอบให้ได้ และถ้าเราหาคำตอบได้ และเป็นคำตอบที่ดี มันก็ทำให้การมีชีวิตอยู่ของเรา มันมีคุณค่า และทำให้เราอยู่อย่างมีความสุข
ถ้าจะถามว่าเราอยู่ไปเพื่ออะไร หรือถ้าคำถามนี้เกิดขึ้นกับตัวเอง อาตมาคิดว่าคำตอบหนึ่งที่ช่วยได้มาก และมันทำให้ชีวิตของเราเป็นชีวิตที่ดีขึ้น ก็คือคำของท่านอาจารย์พุทธทาสที่ว่า “สงบเย็นและเป็นประโยชน์” ท่านพูดถึง 2 คำนี้ เพื่อตอบว่าชีวิตที่ดีคืออะไร แต่ที่จริง 2 คำนี้มันก็สามารถจะเป็นคำตอบว่าเราควรอยู่ไปเพื่ออะไรด้วย อยู่เพื่อเข้าถึงความสงบเย็น และเพื่อทำประโยชน์ให้กับผู้อื่น พูดสั้นๆ ว่าสงบเย็นและเป็นประโยชน์ อันนี้เป็นความหมายและเป็นคุณค่าที่เรียกว่า สอดคล้องกับความคิดในทางพุทธศาสนา ซึ่งมีพระพุทธเจ้าเป็นแบบอย่างหรือเป็นรูปธรรม
เราคงทราบดีแล้วว่า องค์คุณของพระพุทธองค์ หรือว่าคุณสมบัติหรือแก่นแท้ของพระพุทธเจ้ามี 2 ประการก็คือ ปัญญาคุณและกรุณาคุณ ถ้าเราศึกษาจากบทสวดมนต์ทำวัตร คำว่าปัญญาและกรุณาจะมาคู่กัน บางทีก็มีคำที่ 3 คือวิสุทธิคุณ แต่อันนั้นเป็นส่วนที่เสริม ส่วนที่เป็นหัวใจหลักๆ มี 2 คือปัญญาคุณและกรุณาคุณ
ปัญญาคุณ ก็คือการที่พระองค์เห็นแจ้งในสัจธรรม จนนำไปสู่ความพ้นทุกข์ กิเลสไม่มีที่ตั้ง เพราะทรงเห็นว่า ไม่มีอะไรที่จะยึดติดถือมั่นได้ การปรุงแต่งตัวกูของกูมันดับไป ปัญญาที่เห็นความจริงเช่นนี้แหละ ที่ทำให้จิตเข้าถึงภาวะที่สงบเย็นคือ นิพพาน และที่สงบเย็นก็เพราะว่า ไม่มีความยึดติดถือมั่นในตัวกูของกูอีกต่อไป เมื่อไม่มีตัวกูของกู หรือความยึดติดในตัวกูของกู กิเลสตัณหามันก็ไม่มีที่ตั้ง ปัญญาอันแจ่มแจ้งในสัจธรรม ก็ทำให้พระองค์เข้าถึงภาวะที่สงบเย็น เพราะไม่มีกิเลส ไม่มีตัวกูของกูมารบกวน อันนี้พูดแบบภาษาชาวบ้าน
และเมื่อไม่มีความเห็นแก่ตัว จิตใจก็แผ่กว้าง เกิดความเมตตากรุณาอย่างไม่มีประมาณ ที่เรียกว่าแผ่ไปยังสรรพสัตว์ ไม่มีที่สุดไม่มีประมาณ ไม่เลือกว่าเป็นใคร จะเป็นพระราหุลหรือเทวทัต ก็ทรงมีพระกรุณาคุณเท่าเทียมกัน และก็แผ่ไปยังสรรพสัตว์ทั้งหลาย ไม่เลือกว่ามนุษย์รวมไปถึงสัตว์เล็กสัตว์น้อย เรียกว่าแผ่ไปยังทุกภพภูมิ อันนี้ก็กลายเป็นองค์คุณประการหนึ่งของพระองค์ก็คือ กรุณาคุณ และกรุณาคุณก็ทำให้พระองค์บำเพ็ญตน บำเพ็ญพระองค์ ช่วยเหลือเกื้อกูลสรรพสัตว์ ไม่ใช่แค่มีเมตตาอย่างเดียว แต่ว่าลงมือออกไปช่วยเหลือสรรพสัตว์ตามกำลัง โดยเฉพาะการเปิดใจให้เขาเห็นสัจธรรม เพื่อจะได้เข้าถึงความสงบเย็น
แต่จริงๆ แล้วพระองค์ก็ไม่ได้เพียงแต่สอนให้คนได้เข้าถึงความสงบเย็น คำสอนของพระองค์หลายอย่างก็ทำให้คนมีความสุขความเจริญในชีวิต ถ้าเป็นพ่อค้าก็รู้จักทำมาหากิน รู้จักสะสมเงินทอง ประสบความเจริญในทางโลกด้วย คือพระองค์ช่วยเหลือผู้คนทั้งทางโลกและทางธรรม
พระเจ้าปเสนทิโกศลอ้วน กินอาหารเยอะ เดินก็ลำบาก ลุกนั่งก็ไม่สะดวก พระองค์ก็แนะนำวิธีลดความอ้วนให้ ก็คือให้มีสติในการกิน ปรากฏว่าพอพระเจ้าปเสนทิโกศลนำไปปฏิบัติน้ำหนักก็ลด เดินเหินก็คล่อง ลุกนั่งก็สบาย ก็เลยสรรเสริญพระพุทธเจ้าว่าทรงบำเพ็ญประโยชน์ ทั้งประโยชน์ปัจจุบันและประโยชน์ข้างหน้าคือ เรื่องประโยชน์ทางโลกและประโยชน์ในทางจิตใจ เพราะฉะนั้นจริงๆ พระพุทธเจ้าทรงบำเพ็ญประโยชน์ให้กับสรรพสัตว์ ไม่ใช่เฉพาะเรื่องทางธรรมเท่านั้น แต่แม้กระทั่งเรื่องทางโลกก็คือ เรื่องสุขภาพ เรื่องการทำมาหากิน เรื่องการมีครอบครัวที่อบอุ่น การมีคู่ครองที่เหมาะสม อันนี้รวมหมด จะว่าไปแล้ว พระพุทธเจ้านี่เป็นแบบอย่างของผู้ที่บรรลุถึงความสมบูรณ์พร้อม ของสิ่งที่ท่านอาจารย์พุทธทาสเรียกว่า สงบเย็นและเป็นประโยชน์ สงบเย็นด้วยปัญญา และเป็นประโยชน์ก็เพราะด้วยพลังแห่งกรุณา
อย่างไรก็ตามสำหรับคนทั่วไป แม้ปัญญาจะยังไม่ถึงขั้นที่จะทำให้เกิดความหลุดพ้นอย่างแท้จริงได้ แต่ก็มีธรรมะอื่นๆ อีกมากมาย ที่ทำให้เข้าถึงความสงบเย็นในจิตใจ เช่นสมาธิ เช่นสติ และแม้แต่กระทั่งเมตตา เมตตาก็ทำให้ใจสงบเย็นได้ โดยเฉพาะคนที่มีความโกรธ มีความอาฆาตพยาบาท เมื่อแผ่เมตตาไปใจก็สงบเย็น เพราะว่าจิตหายจากความรุ่มร้อน เพราะการแผดเผาของความโกรธความพยาบาท อาตมาคิดว่า อันนี้เป็นจุดหมายของชีวิตที่สำคัญสำหรับชาวพุทธ เราอยู่เพื่อเข้าถึงสงบเย็นและเป็นประโยชน์
ส่วนอื่นๆ นี่นำมาเป็นส่วนเสริม เป็นส่วนรองรับ เช่นการทำมาหากิน การมีปัจจัย 4 การทำความสำเร็จให้เกิดขึ้นกับชีวิต หรือการงาน พวกนี้มันเป็นส่วนเสริม หรือว่าเป็นส่วนสนับสนุน เพราะว่าคนเราจะเข้าถึงความสงบเย็นในจิตใจ มันก็ต้องปลอดพ้นจากความทุกข์ในทางกายเป็นเบื้องต้นก่อน ก็คือไม่หิวโหย ไม่เจ็บป่วย เพราะฉะนั้นปัจจัย 4 จึงสำคัญ และเราก็มีหน้าที่ในการที่จะหาปัจจัย 4 มาเพื่อที่จะค้ำจุนชีวิต และเพื่อที่จะเป็นบันไดไปสู่ภาวะที่สงบเย็นอย่างลึกซึ้งมากขึ้น แต่ถ้าใครก็ตามที่คิดว่าชีวิตอยู่เพื่อความร่ำรวย ความมั่งมี ชื่อเสียงเกียรติยศ ก็อาจจะไม่พบความสงบเย็นเลยก็ได้ แม้ว่าจะได้สิ่งที่ต้องการ
อาตมาเคยอ่านบันทึกของประธานาธิบดีมาร์กอสแห่งฟิลิปปินส์ มาร์กอสนี่เคยเป็นประธานาธิบดีทั้งในระบอบประชาธิปไตยและเผด็จการของฟิลิปปินส์ มีอำนาจมากเมื่อ 40 ปีที่แล้ว จนกระทั่งถูกโค่นด้วยพลังประชาชนเมื่อปี 29 ต้องลี้ภัยไปฮาวาย ตอนที่มาร์กอสเรียกว่าอยู่ในจุดสูงสุดของชีวิต มีอำนาจล้นฟ้าทั้งแผ่นดินฟิลิปปินส์ เขาเคยเขียนบันทึกเอาไว้ว่า ข้าพเจ้ามีทุกอย่างที่ชีวิตปรารถนา มีทรัพย์สินเงินทองมากมาย ข้าพเจ้ามีภรรยาที่น่ารัก มีลูกที่ดี ข้าพเจ้ามีอำนาจล้นฟ้า พูดง่ายๆ คือมีทุกอย่างที่ชีวิตต้องการ แต่ก็ยังไม่พบความพึงพอใจในชีวิต เขามีทุกอย่างแล้ว แต่เขาไม่มีความสุข เพราะว่าสิ่งที่เขาขาดหายไปคือ ความสงบเย็น
เพราะฉะนั้นใครที่เอาเงินทองชื่อเสียงเกียรติยศ หรือแม้แต่ความสำเร็จในการงานเป็นจุดหมายของชีวิต หรือว่าเป็นจุดหมายของการดำรงอยู่ ก็คงจะหาความสุขความพึงพอใจในชีวิตได้ยาก อาจจะเรียกว่า เกิดมาไม่ได้รับประโยชน์สูงสุดหรือว่าขั้นสูง ไม่ต้องสูงสุด เอาประโยชน์ขั้นสูงแห่งความเป็นมนุษย์ก็ได้ ถ้าพูดอีกอย่างหนึ่งก็คือว่า เกิดมาทั้งทีแต่เหมือนกับเสียชาติเกิด ไม่ได้พบกับสิ่งที่ทำให้ชีวิตมันมีคุณค่า
อย่างไรก็ตาม แค่ความสงบเย็นไม่พอ ความสงบเย็นต้องคู่กับเป็นประโยชน์ด้วย เพราะถ้าสงบเย็น หากว่าไม่คิดจะทำประโยชน์ให้กับผู้อื่น มุ่งแต่ความสงบเย็นในจิตใจ ก็อาจจะไม่พบเหมือนกัน อาจจะไม่พบความสงบเย็น ถ้าเกิดว่าเอาแต่แสวงหาความสงบเย็นในจิตใจ โดยไม่อินังขังขอบคนอื่น ไม่สนใจส่วนรวม จะทำอะไรก็กลัวว่าใจไม่สงบ จะรับผิดชอบอะไรก็ปฏิเสธ เพราะกลัวว่าจิตใจจะไม่สงบ อย่างนี้ก็จะไม่พบความสงบอย่างแท้จริง ความสงบเย็นกับการทำตัวให้เป็นประโยชน์ อาตมาว่ามันเป็นสิ่งที่แยกจากกันไม่ออก ในความหมายที่ว่าเมื่อสงบเย็นแล้ว และถ้าสงบอย่างแท้จริงไม่มีความเห็นแก่ตัว ก็จะนำไปสู่การบำเพ็ญตนเพื่อผู้อื่น ด้วยพลังของกรุณา เพราะฉะนั้นสงบเย็น มันก็นำไปสู่การทำตัวให้เป็นประโยชน์
แต่ในอีกด้านหนึ่ง การบำเพ็ญตนให้เป็นประโยชน์ ก็สามารถจะช่วยให้จิตใจเกิดความสงบเย็นได้ อันนี้มันเป็นสิ่งที่เราควรจะใส่ใจ หลายคนไม่เข้าใจ คิดว่าถ้าฉันไปช่วยเหลือผู้อื่น จิตใจฉันก็คงจะว้าวุ่น หาความสงบเย็นได้ยาก อันนี้ก็เป็นเหตุผลหรือสาเหตุที่นักปฏิบัติธรรมหลายคน พยายามที่จะปลีกตัวหลีกเร้นจากสังคม เพื่อที่จะได้มาภาวนา เพื่อให้เกิดความสงบเย็น จนบางทีกลายเป็นคนเห็นแก่ตัวไป เพราะว่างานการในสำนักในวัดวาอาราม ที่ควรจะรับผิดชอบร่วมกันก็ไม่ทำ บ่ายเบี่ยงหลีกเลี่ยง แม้กระทั่งคนมีปัญหาอยู่ข้างนอก ก็ไม่ออกไปช่วยเหลือเขา เพราะคิดว่าจะทำให้ใจไม่สงบ ถ้าการออกไปช่วยเหลือคนแล้วทำให้ใจไม่สงบ แสดงว่าการภาวนายังไปไม่ถึงไหน เพราะถ้าภาวนาอย่างแท้จริงแล้ว การออกไปช่วยเหลือผู้อื่น มันไม่ทำให้จิตกระเพื่อมได้เลย มันมีแต่ความยินดีและความสุขความอิ่มเอม
อาตมาคิดว่าสำหรับพวกเราที่ปรารถนาชีวิตที่สงบเย็น การบำเพ็ญตนเพื่อช่วยเหลือผู้อื่นเป็นสิ่งสำคัญ การช่วยเหลือผู้อื่นมันไม่ใช่เป็นประโยชน์แก่ผู้อื่นเท่านั้น แต่มันเป็นประโยชน์กับเราด้วย เป็นประโยชน์กับเราทั้งในระดับพื้นๆ จนกระทั่งไปถึงระดับที่ลึกซึ้ง
มีผู้หญิงคนหนึ่งเธอเป็นไมเกรนต้องกินยาเป็นประจำ ตอนหลังก็ไปเป็นจิตอาสาที่สถานสงเคราะห์เด็กอ่อนบ้านปากเกร็ด ที่นั่นเด็กเล็กถูกทอดทิ้งหรือไม่มีพ่อไม่มีแม่ เจ้าหน้าที่ก็ดูแลไม่พอ เด็กมีเยอะเป็นร้อย ก็ต้องการอาสาสมัคร เธอก็ไปเป็นจิตอาสาอาทิตย์ละ 2 ครั้ง เป็นจิตอาสานี่ก็ต้องไปตรงเวลา ไม่ใช่ว่าจะไปตามใจชอบ เธอไปเป็นจิตอาสาอยู่สัก 2-3 อาทิตย์ วันหนึ่งก็สังเกตว่าเธอลืมกินยา ปกติเธอต้องกินยาทุกวัน แต่วันไหนที่ไปเป็นจิตอาสาจะลืมกินยา เธอก็แปลกใจว่าทำไมถึงลืม เพราะกินยาต่อเนื่องกันมาหลายปีแล้ว ซึ่งเธอพบว่าที่ลืมกินยาเพราะว่าไม่ปวด ไม่ปวดหัว ทำไมถึงไม่ปวดหัว ก็เพราะว่ามีความสุขที่ได้ไปเป็นพี่เลี้ยงให้กับเด็ก เธอพบเลยว่า ที่แท้ทีแรกว่าจะไปช่วยเด็ก ปรากฏว่าเด็กกลับช่วยเรา แทนที่เราจะให้ความสุขกับเด็ก เด็กกลับให้ความสุขกับเรา การเป็นจิตอาสาเป็นยาบรรเทาไมเกรนที่ดีมาก ดีกว่ายาที่เธอกินเสียอีก
หลายคนก็พบว่าเขามีความเปลี่ยนแปลงในตนเอง จากการที่ไปเป็นจิตอาสา นักธุรกิจคนหนึ่งชื่อป๊อป แกเป็นคนเก่งและประสบความสำเร็จในการงาน จนกระทั่งทำให้มีความเชื่อมั่นในตัวเองสูง พอมีความเชื่อมั่นในตัวเองสูง ก็มักจะเป็นคนเจ้าอารมณ์ หุนหันพันแล่นเวลาคนอื่นคิดไม่ทัน หรือว่าทำอะไรไม่ถูกใจ แต่พอเข้าไปเป็นจิตอาสา พบว่าใจเย็นลง ทีแรกเย็นลงเพราะว่าสถานการณ์บีบบังคับ การดูแลเด็กจะทำตามใจชอบไม่ได้ แม้เด็กจะทำอะไรไม่ถูกใจก็ต้องอดกลั้นเอาไว้ ถ้าเป็นลูกน้องทำอะไรไม่ถูกใจก็ตวาดหรือว่า แต่ว่ากับเด็กต้องข่มใจไว้ ต้องมีขันติ แล้วก็พบว่าการที่เขาพยายามที่จะควบคุมอารมณ์เวลาเลี้ยงเด็ก ซึ่งที่จริงก็เกิดจากความเมตตา มันก็ทำให้นิสัยเขาเริ่มเปลี่ยน
แต่ก่อนเขาบอกว่า เขาเอาตัวเองเป็นศูนย์กลาง เวลาทำอะไรก็จะมองตัวเองเป็นศูนย์กลาง แต่พอมาดูแลเด็ก ต้องคำนึงถึงเด็กมากกว่าตัวเอง แล้วพบว่าทำให้เขาจิตใจเย็นลง และเข้าใจคนอื่นได้มากขึ้น ทีแรกเข้าใจเด็กก่อน ตอนหลังความเข้าใจมันก็แผ่ไปยังลูกน้อง นอกจากหุนหันพลันแล่นกับลูกน้องน้อยลงแล้วก็เข้าใจลูกน้องมากขึ้น แล้วก็ทำให้เขานึกไปถึงแม่ จากคนที่เคยไม่ค่อยสนใจแม่ ทำแต่งาน เขาก็เริ่มที่จะหันไปให้เวลากับแม่มากขึ้น คำนึงถึงความรู้สึกของแม่มากขึ้น อ่อนโยนต่อแม่มากขึ้น อันนี้คือความเปลี่ยนแปลงภายใน ที่เกิดจากการที่ไปเป็นจิตอาสาช่วยเหลือคนอื่น และมิติหรืออานิสงส์ตรงนี้ ส่วนใหญ่จิตอาสาเขาไม่ได้นึกถึง เขานึกแต่เพียงว่าจะไปช่วย จะไปช่วยเด็กอ่อน แต่ปรากฏว่าอานิสงส์มันย้อนกลับมาที่ตัวเอง ขัดเกลาจิตใจ กล่อมเกลาจิตใจให้สงบเย็น และทำให้มีความอ่อนโยนกับผู้อื่นมากขึ้น
แม้แต่เด็กอายุ 14 ขวบ น้องด้าย พอเป็นจิตอาสาแล้ว แม่ก็แปลกใจว่าเธอนิ่งสุขุมมากขึ้น ฟังแม่มากขึ้น ใช้เหตุผลมากกว่าอารมณ์ และนี่ก็เป็นผลจากการที่ไปเป็นจิตอาสา อาตมาคิดว่าอานิสงส์ต่อจิตใจ เกิดความเปลี่ยนแปลงภายใน มันไม่ได้เกิดจากการไปเป็นจิตอาสาช่วยเด็กอ่อนเท่านั้น แม้ไปช่วยคนอื่น ไปทำกิจที่เป็นประโยชน์ต่อส่วนรวม มันก็มีผลในการทำให้เจ้าตัวมีความสุขมากขึ้น มีความอ่อนโยนมากขึ้น มีความสงบเย็นมากขึ้นได้เหมือนกัน โดยเฉพาะมันช่วยทำให้ตัวตนเล็กลง เวลาเราไปทำอะไรเพื่อส่วนรวม เราต้องคำนึงถึงผู้อื่นมากกว่าตัวเอง จะเอาใจตัวเองเอาตามใจตัวเองไม่ได้ จะเอาแต่ใจไม่ได้ สิ่งเหล่านี้นี่มันเป็นการช่วยกล่อมเกลาให้อัตตาเล็กลง
คนที่อยู่แต่ในบ้านบางทีก็อาจจะกลายเป็นว่าตนเป็นศูนย์กลางของจักรวาล โดยเฉพาะเด็กปัจจุบัน ใครๆ ก็ต้องมาบริการดูแล ต้องมารับใช้เอาใจ คนเหล่านี้อัตตาจะใหญ่ ในภาษาจีนเขาเรียกเป็นพวกเด็กแบบฮ่องเต้ เด็กจักรพรรดิ แต่พอออกไปข้างนอกไปช่วยเหลือผู้อื่น ไปทำประโยชน์ให้กับส่วนรวม มันก็ทำให้การเอาแต่ใจตัว หรือว่าอัตตาที่ใหญ่มันบรรเทาลง มันเล็กลง แล้วที่จริงแล้วมันสามารถจะเยียวยาจิตใจของคนเราได้ จริงๆ คนเราในยามที่ประสบกับความพลัดพราก ในยามที่ประสบกับความสูญเสีย ในยามที่เศร้าโศกเสียใจ หรือในภาวะที่ชีวิตนี้ไร้คุณค่า สิ่งหนึ่งที่ช่วยเยียวยาจิตใจได้คือ การนึกถึงผู้อื่น