แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
หลวงพ่อฝากไว้ ลำดับที่ 96
วันที่ 10 พฤศจิกายน 2557
ขอให้ญาติโยมเราทุกคนทุกท่านจงเจริญสติ สร้างความรู้สึกรับรู้สัมผัสของลมหายใจของเราให้ชัดเจน ตั้งแต่ตื่นขึ้นมาเราได้สร้างความรู้ตัว เพียงแค่สร้างความรู้ตัว เพียงแค่ทำความเข้าใจ พวกท่านพากันทำแล้วหรือยัง ทั้งที่ใจก็ปรารถนาอยากจะรู้ธรรม อยากจะได้บุญ ความอยากนั่นแหละเป็นความเกิดที่เกิดจากใจ
เรามาสร้างความรู้ตัวตัวใหม่ ซึ่งเรียกว่า ‘สติ’ ถ้าเรารู้ให้ต่อเนื่อง เขาเรียกว่า ‘สัมปชัญญะ’ มีความรู้ตัวทั่วพร้อม ลึกลงไปเราก็รู้ว่าอันนี้ส่วนปัญญาที่เราสร้างขึ้นมา อันนี้ส่วนใจ ลึกลงไปอีก ใจคลายออกจากความคิดอีก ซึ่งเรียกว่า ‘แยกรูปแยกนาม’ ความรู้ตัวของเราต่อเนื่องเราถึงจะเห็น ถ้าเห็นได้เมื่อไหร่ เราก็ตามทำความเข้าใจ เราก็จะเข้าใจในคำสอนของพระพุทธองค์
คำว่า ‘อัตตา’ กับ ‘อนัตตา’ ‘สมมติ’ ‘วิมุตติ’ เห็นการก่อตัว เห็นการเกิดของใจ เขาส่งไปภายนอกอย่างไร นี่เขาหลงมานานนะ เขาหลงมานาน ถ้าเราแยกไม่ได้ เราก็ว่าเราไม่หลง ถ้าเราไม่เจริญสติให้ต่อเนื่อง เราก็ว่ามีสติปัญญาอยู่ มีกันทุกคน แต่เป็นสติปัญญาของสมมติ ของโลกียะ ของโลก อยู่ในระดับสมมติ อาจจะถูกผิดอยู่ในระดับของสมมติ แต่เราต้องคลายใจของเราออกให้รับรู้ ปัญญาทำหน้าที่แทนทุกเรื่อง เป็นเรื่องของทุกคน
การฝึกหัดปฏิบัติขัดเกลาตัวเรา ไม่ว่าจะอยู่ที่ไหน ตั้งแต่ตื่นขึ้นมาจนกระทั่งนอนหลับ จนกระทั่งหมดลมหายใจ ว่าเราจะดำเนินอย่างไร เราอยู่กับสมมติ เคารพสมมติ ไม่ยึดติดสมมติ ภาษาโลก ภาษาธรรมเป็นอย่างไร แสวงหาแต่ธรรมแต่ไม่รู้เรื่อง เจริญสติไม่รู้จักว่าลักษณะของสติเป็นอย่างไร จะเอาอะไรไปใช้ จะเอาอะไรไปละ ไปดับ ไปประหัตประหารกิเลส ทั้งที่เราก็อยู่กับกองกิเลส กายของเรานี่แหละกองกิเลส กิเลสหยาบ กิเลสละเอียด ทุกคนก็มีกันหมด
ทีนี้เราก็มาพยายามศึกษาอบรม คลายใจของเราออก ให้รับรู้อยู่กับกองกิเลสนั่นแหละ แต่ไม่หลงไม่ยึด สร้างประโยชน์ ประโยชน์ตน ประโยชน์ท่าน ประโยชน์สูงสุด ประโยชน์ในโลกนี้ ประโยชน์ในโลกหน้า เอาประโยชน์ปัจจุบันให้ดี เห็นอยู่ปัจจุบันให้ดี
ส่วนนาม ส่วนรูป ความขยันหมั่นเพียร ความเสียสละ ความอดทน การฝักใฝ่ การสนใจ สารพัดอย่าง หมั่นพร่ำสอนใจตัวเราอยู่ตลอดเวลาตั้งแต่ตื่นขึ้นมา อยู่คนเดียวก็มีความสุข อยู่หลายคนก็มีความสุข วันนี้ตั้งแต่ตื่นขึ้นมา ใจของเราพลั้งเผลอให้กิเลสสักกี่ครั้ง ใจของเราเกิดกิเลสส่งออกไปภายนอกสักกี่เรื่อง เหตุจากภายนอกทำให้ใจเกิดสักกี่ครั้ง อาการของความคิดก่อตัวอย่างไร เราละได้หรือไม่ เราดับได้หรือไม่ เราละได้ตั้งแต่ต้นเหตุ ดับได้ตั้งแต่ต้นเหตุ ตั้งแต่การก่อตัว กลางเหตุ ปลายเหตุ ออกมาทางกาย ทางวาจา เราชนะหรือเราแพ้ เราพยายามหมั่นสำรวจ หมั่นตรวจตรา สตินี่แหละเป็นอาจารย์คอยสอบอารมณ์คอยสอนใจ หมั่นพร่ำสอนตัวเราอยู่ตลอดเวลา จากน้อย ๆ ไปหามาก ๆ
ส่วนมากก็มีตั้งแต่วิ่งไปหาครูบาอาจารย์ภายนอก ที่โน้นที่นี่บ้าง ไม่สร้างอาจารย์อยู่ในกายของเรา ความขยันหมั่นเพียร ความเสียสละ ความอดทน เขาเรียกว่า ‘ตบะบารมี’ รู้จักฝักใฝ่ รู้จักสนใจ งานส่วนตัว งานส่วนรวม ประโยชน์ใกล้ ประโยชน์ไกล ไม่มีความเห็นแก่ตัว ไม่มีความเกียจคร้าน หนักเอาเบาสู้ หนักก็ไม่เอา เบาก็ไม่สู้ แบกกายกายก็หนัก หนักตัวเราก็ไปหนักคนอื่น หนักสถานที่ โยนความรับผิดชอบไปที่โน้นบ้าง ไปที่นี่บ้าง ไม่พยายามแก้ไขปัญหา แก้ให้มันจบ จบทั้งภายนอกจบทั้งภายใน อยู่กับสมมติ เคารพสมมติ ไม่ยึดติดสมมติ ก็มีความสุขเท่านั้นเอง ก็พยายามนะ เป็นเรื่องของเราทุกคน ไม่ใช่เรื่องของคนใดคนหนึ่ง
ทั้งสมมติภายนอกท่านถึงบอกว่าให้รอบรู้ในขันธ์ห้า รอบรู้ในกองสังขาร แล้วก็รอบรู้ในโลกธรรม การกระทำของเราก็ต้องถึงพร้อม หลงกันทุกคนนั่นแหละ ถ้าไม่หลงไม่ได้เกิดมาเป็นมนุษย์หรอก หลงมาเกิดอยู่ในภพของมนุษย์ ในภพของมนุษย์เรามีกายเนื้อเข้ามาปิดกั้นเอาไว้ มีขันธ์ห้ามาปิดกั้นเอาไว้ เราต้องอาศัยปัญญาของผู้รู้ อาศัยปัญญาของพระพุทธองค์ เจริญตามปัญญาของท่าน จนปรากฏขึ้นที่ใจ เห็นที่ใจ แยกแยะได้ที่ใจ ทำความเข้าใจแล้วก็มีความสุข ไม่ว่าพระ ว่าโยม ว่าชี
วันเดือนผ่านไปเร็วไว เราทำประโยชน์อะไรบ้าง เราก็ต้องพยายามพิจารณา ตื่นขึ้นมาตั้งแต่เช้าจนมืดจนกระทั่งนอนหลับ เราพลั้งเผลอให้กิเลสตัวไหน อะไรควรทำ อะไรควรละ อะไรควรเจริญ ถ้าเราไม่รู้จักแก้ไขตัวเราแล้วมันก็ยาก หนักตัวเองแล้วก็หนักคนอื่น โยนไปที่โน้นบ้างที่นี่บ้าง ก็เลยไม่ถึงจุดหมายปลายทางเสียที
เอาล่ะวันนี้ขอเจริญธรรมเพียงเท่านี้ พากันไหว้พระพร้อม ๆ กัน พากันไปสร้างสานต่อ ทำความเข้าใจกันเอานะ