แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
หลวงพ่อฝากไว้ ลำดับที่ 88
วันที่ 24 กันยายน 2557
ขอให้ญาติโยมเราทุกคนทุกท่านจงเจริญสติ สร้างความรู้ตัว รู้สัมผัสของลมหายใจของเราให้ชัดเจน นั่งตามสบาย วางกายให้สบาย หยุดความนึกคิดปรุงแต่งต่าง ๆ เอาไว้ชั่วครั้งชั่วคราว ถึงเราละไม่ได้ ถึงเราเดินปัญญาแยกรูปแยกนาม ทำความเข้าใจไม่ได้ ก็ให้รู้จักวิธีการเจริญสติ
ลองสูดลมหายใจเข้าไปยาว ๆ ลึก ๆ แล้วก็ผ่อนลมหายใจออกมายาว ๆ แล้วก็รู้ให้ต่อเนื่อง เขาเรียกว่า ‘สัมปชัญญะ’ รู้จักพิจารณากายของเรา แล้วก็ลึกลงไปพิจารณาใจของเรา เป็นเรื่องของเราทั้งนั้น ไม่ใช่เรื่องของคนอื่น รู้จักแก้ไขตัวเรา ทั้งกาย ทั้งวาจา ลึกลงไปก็ทั้งใจ
ทุกคนปรารถนาหาแนวทาง หาความสุขกัน เราก็พยายามทำความสุขภายในใจของเรา อะไรที่จะนำทุกข์นำโทษมาให้ เราก็รีบแก้ไข อะไรที่จะนำประโยชน์ นำความสุขมาให้ เราก็รีบทำ ประโยชน์ใกล้ ประโยชน์ไกล ประโยชน์วันนี้ ประโยชน์วันหน้า ประโยชน์ในโลกปัจจุบันให้ดี ไม่ว่าพระ ว่าโยม ว่าชี ก็ต้องพิจารณาเหมือนกันหมด
พวกเราได้สร้างอานิสงส์ร่วมกันถึงได้มาอยู่ร่วมกัน อยู่คนละทิศละที่ละทางก็มาอยู่ร่วมกัน ถึงเวลาก็ต้องได้พลัดพรากจากกัน ไม่ได้พลัดพรากจากกันตอนเป็น ก็ต้องได้พลัดพรากจากกันตอนตาย เพราะเป็นกฏของไตรลักษณ์ แต่เราให้รู้ความเกิดความดับ ขณะที่เรายังมีลมหายใจซึ่งเป็นส่วนนามธรรมให้ละเอียดเสียก่อน รู้ความเกิดความดับของวิญญาณในกายของเรา รู้ความเกิดความดับของกาย กายเนื้อของเรานี่แหละส่วนรูป เขาเกิดมาในภพของมนุษย์ ซึ่งมีวิญญาณ ซึ่งเป็นส่วนนามธรรมอีกสี่ส่วน ซึ่งเรียกว่า ‘ขันธ์ห้า’
เราต้องเจริญสติลงอยู่ที่กายของเรา แจงให้ได้ บอกตัวเองให้ได้ว่าอะไรที่พระพุทธองค์ท่านบอกว่าเป็นกองเป็นขันธ์ เราจะทำหน้าที่อย่างไร เราถึงจะมีความสุข ไม่ใช่ว่าไปปล่อยปละละเลย กายของเราทำหน้าที่อย่างไร ทวารทั้งหกทำหน้าที่อย่างไร เรามีความขยันหมั่นเพียรเพียงพอหรือไม่ เรามีความเสียสละ เรามีความอ่อนน้อมถ่อมตน หรือว่าเรามีความเกียจคร้าน หรือว่าเรามีความเห็นแก่ตัว เราพยายามกำจัดกิเลสต่าง ๆ ออกจากจิตจากใจของเรา มองโลกในทางที่ดี คิดดี การกระทำของเราก็ต้องถึงพร้อม ถึงจะเกิดประโยชน์
ความหมายของภาษาธรรม ภาษาโลกเป็นอย่างไร แสวงหาธรรมอยู่ที่ไหน การพูดการจา การอ่านตำราก็เป็นเพียงแค่แนวทางเท่านั้นแหละ ถ้าพวกเราไม่ได้เจริญสติลงอยู่ที่ใจของเรา ดูรู้ต้นเหตุ เราก็จะไม่เข้าใจในชีวิตของเรา ทำได้บ้างไม่ได้บ้าง พยายามทำ
ทำไมเราถึงลำบากทางสมมติ สมมติของเราทำไมถึงลำบาก เรามีความขยันหมั่นเพียร ยังสมมติของเราดีหรือไม่ บางทีบางครั้งบางคราว เหตุการณ์ก็บังคับเหมือนกัน คนเราสร้างอานิสงส์ สร้างบุญบารมีมาไม่เหมือนกัน บางคนก็สร้างมามาก บางคนก็สร้างมาน้อย บางคนก็เต็มเปี่ยมทั้งสมมติ เต็มเปี่ยมทั้งวิมุตติ บางคนก็ขาดแคลน แต่เรามาแก้ไขใหม่อยู่ปัจจุบัน ล้มแล้วลุกขึ้นมาใหม่ แก้ไขใหม่ จนสมมติของเราก็บริบูรณ์ ไม่ได้ลำบาก ทางด้านจิตใจก็ขัดเกลากิเลสออกให้หมดจด ให้มองเห็นหนทางเดิน ว่าเราจะได้กลับมาเกิดหรือไม่กลับมาเกิดกัน
แนวทางนั้นมีมานานแล้ว แต่พวกเราจะดำเนินให้ถึงจุดหมายหรือไม่ เราก็ต้องพยายามกัน อย่าไปปิดกั้นตัวเราเองว่าไม่มีโอกาส ทุกคนมีโอกาสเหมือนกันหมด ทุกคนมีกาลเวลา มีลมหายใจเหมือนกันหมด มีธาตุสี่ขันธ์ห้าเหมือนกันหมด แต่อานิสงส์ทางสมมติเราต้องมาสร้าง เรามายังประโยชน์ของสมมติให้บริบูรณ์ เพื่อยังสมมติของพวกเราให้อยู่ดีมีความสุข ก็ปัจจัยสี่นั่นแหละ ที่พักที่อาศัย ที่หลับที่นอน ที่อยู่ที่กิน ความสะอาดความเป็นระเบียบเรียบร้อย หรือว่าโลกธรรมนั่นแหละ ท่านถึงบอกให้รอบรู้ในกองสังขาร ในจิตวิญญาณในขันธ์ห้าของเรา แล้วก็รอบรู้ในโลกธรรมที่เราเข้าไปยุ่งเกี่ยว เราจะเข้าไปยุ่งเกี่ยวยังไง โดยใจที่ไม่ทุกข์ เราจะยังสมมติอย่างไรให้เจริญ
ถึงเวลาเราก็รู้จักจุดปล่อย จุดวาง วางภายในให้ได้ รับผิดชอบข้างนอกด้วยสติด้วยปัญญา อยู่ด้วยปัญญาล้วน ๆ แต่เราต้องแจงภายในให้ละเอียดเสียก่อน ว่าวิญญาณในกายของเราเป็นลักษณะอย่างไร วิญญาณหรือใจที่ไม่มีกิเลสเป็นอย่างไร ใจที่ไม่เกิดเป็นอย่างไร การควบคุมใจเป็นอย่างไร เราควบคุมใจด้วยการบังคับเอาไว้ หรือว่าควบคุมใจด้วยการหนีจากเหตุการณ์ เราต้องพยายามให้รู้ความเป็นจริง รู้แจ้งเห็นจริง ไม่หลบ ไม่หลีก ไม่หนี ถ้าจะหลบจะหลีก ก็หลีกด้วยสติหลีกด้วยปัญญา ให้สงบ
ใจที่สงบปราศจากกิเลส ให้รู้แจ้งด้วยปัญญา ไม่ใช่ว่าไปบังคับ ไม่ใช่ตั้งแต่หลบหลีกหนีสมมติ จะหนีไม่พ้น เพราะว่ากายของเราเป็นก้อนสมมติ นอกจากจะหมดลมหายใจนั่นแหละ ถึงจะได้วางกายก้อนนี้ แต่ใจยังเกิดต่อ เราก็ไปละกิเลสที่ใจ ดับกิเลสที่ใจ
ความจริงสัจธรรมมีอยู่ ขอให้พากันทำเถอะ ทำได้บ้างไม่ได้บ้างก็พยายามทำ อย่าไปปล่อยเวลาทิ้ง เสียดายเวลา ไม่ว่าพระ ว่าโยม ว่าชี อยู่ด้วยกันก็ให้มีตั้งแต่พรหมวิหาร ความเมตตา รักมากก็ทุกข์มาก เกลียดมากก็ทุกข์มาก อยู่ด้วยกัน อยู่ด้วยพรหมวิหาร อยู่ด้วยความเมตตา มีอะไรก็ค่อยช่วยเหลือซึ่งกันและกัน อย่าไปอคติกัน อย่าไปเพ่งโทษกัน ทุกคนไปด้วยแรงเหวี่ยงของกรรม กายของเราก็ก้อนกรรม จิตของเราก็มาสร้างกรรมต่อ ถ้าคนมีปัญญาแล้วจะอยู่เหนือกรรม สร้างกรรมดีแต่ไม่หลง ไม่ยึด ก็ต้องพยายามกันนะ
เอาล่ะวันนี้ขอเจริญธรรมเพียงเท่านี้ พากันไหว้พระพร้อม ๆ กัน พากันไปสร้างสานต่อทำความเข้าใจกันเอา