แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
หลวงพ่อฝากไว้ ลำดับที่ 86
วันที่ 19 กันยายน 2557
เจริญธรรมญาติโยมทุกคนทุกท่าน ขอให้ญาติโยมจงเจริญสติ สร้างความรู้สึกรับรู้สัมผัสของลมหายใจของเราให้ชัดเจน นั่งตามสบาย วางกายให้สบาย หยุดความนึกคิดปรุงแต่งต่าง ๆ เอาไว้ชั่วครั้งชั่วคราว ไม่ต้องพนมมือ ฟังไปด้วย น้อมสำเหนียก
ตั้งแต่ตื่นขึ้นมาเราได้สร้างความรู้สึกรับรู้สัมผัสของลมหายใจของเราแล้วหรือยัง ถ้ายังก็เริ่มเสียนะ หลวงพ่อเพียงแค่บอก แค่เล่า แค่เตือน การเจริญสติ อาณาปานสติ การสร้างความรู้สึกรับรู้สัมผัสของลมหายใจที่ต่อเนื่องเป็นอย่างไร แล้วก็เชื่อมโยงเป็นอย่างไร หายใจอย่างไรถึงเป็นธรรมชาติ มีความรู้ตัวทั่วพร้อม
คำว่า ‘ปัจจุบันธรรม’ เป็นลักษณะอย่างไร เราต้องพยายามสร้างขึ้นมา ความคิดเก่าที่เกิดจากใจ หรือว่าเกิดจากวิญญาณ ความคิดเก่าที่เกิดจากอาการของวิญญาณ ภาษาธรรมะ ท่านเรียกว่า ‘ขันธ์ห้า’ ขันธ์ทั้งห้าเป็นของทุกข์ ทำไมท่านถึงว่าเป็นของทุกข์
เราจงมาเจริญสติเข้าไปรู้ เข้าไปเห็น เข้าไปทำความเข้าใจ เข้าไปสำรวจตั้งแต่ต้นเหตุ ทำไมใจถึงเกิด ทำไมใจถึงเป็นทาสของกิเลส ทำไมใจถึงหลง ทำอย่างไรเราถึงจะคลายความหลงได้ วิธีการอย่างไร ทั้งที่ใจของเราก็เป็นบุญ ฝักใฝ่ในบุญ แสวงหาธรรม อยากจะได้ธรรม อยากจะรู้ธรรม อยากจะเห็นธรรม มีการทำบุญให้ทาน สิ่งพวกนี้เขาก็ปิดกั้นไว้หมดนั่นแหละ เพราะว่าการเกิดของใจมี เพียงแค่ความเกิด เขาก็ปิดกั้นตัวเขาเอาไว้
อีกอย่างหนึ่งนั้น เขามาสร้างขันธ์ห้า มาสร้างกายเนื้อ มาสร้างความคิดอารมณ์ ซึ่งเป็นฝ่ายนามธรรม มาปกปิดตัวเขาเอาไว้ นอกจากปัญญาของพระพุทธองค์เท่านั้นแหละ ที่จะศึกษา สังเกต วิเคราะห์ ชี้เหตุชี้ผล เห็นเหตุเห็นผล จนแยกจนคลายได้ ตามทำความเข้าใจได้ มองเห็นความเป็นจริงได้ ชี้เหตุชี้ผลจนใจของเรายอมรับความเป็นจริงได้นั่นแหละ เขาถึงจะวาง เขาถึงจะคลาย แล้วก็มาดับความเกิดของใจ ของวิญญาณ ของเราให้ได้
ก็ต้องพยายามศึกษาค้นคว้า เราอยากจะได้ธรรม เราอยากจะรู้ธรรม แต่การละกิเลสไม่มี การคลาย การสังเกต การวิเคราะห์ไม่มี มันก็ไม่ได้ ถ้าเราหมั่นสังเกต หมั่นวิเคราะห์ เห็นเหตุเห็นผล จนใจคลายได้ ละกิเลสได้ เราไม่อยากจะได้ความสงบ เราก็ได้ความสงบ เพราะการละของเรามี การดับของเรามี เราต้องการความสงบ แล้วดับข่มเอาไว้ หรือว่ามองเห็นความเป็นจริง จนละออกให้มันหมด จนเป็นความสะอาด บริสุทธิ์ สงบแบบธรรมชาติ เราก็ต้องใช้ปัญญาที่เกิดจากการเจริญภาวนา
พระพุทธองค์ท่านสอนเรื่องอะไร สอนเรื่องอัตตา สอนเรื่องอนัตตา สอนเรื่องหลักของอริยสัจ สอนเรื่องความเป็นจริงของชีวิต ร่างกายของเรานี้มีอะไรบ้าง ซึ่งมีวิญญาณเข้ามาสร้างภพสร้างชาติขึ้นมา มีส่วนไหน ส่วนเป็นรูปธรรมก็มี ส่วนเป็นนามธรรมก็มี ส่วนรูปธรรมก็กายเนื้อของเรา เขาทำหน้าที่อย่างไร ส่วนนามธรรมซึ่งมีวิญญาณเป็นตัวสุดท้ายในขันธ์ห้าของเรา ซึ่งท่านบอกให้รอบรู้ในกองสังขาร
กองสังขาร ทำไมท่านถึงเรียกเป็นกองเป็นขันธ์ ทั้งที่กายเนื้อของเราก็เป็นก้อน ๆ หนึ่ง เราต้องแจงให้ออกด้วยการเจริญสติ แต่เวลานี้สติรู้ตัวของเรามันมีน้อย มีกระท่อนกระแท่น มีไม่ต่อเนื่อง มีไม่เชื่อมโยง แล้วก็ไม่เห็นเหตุเห็นผล เห็นต้นเหตุการเกิดการดับ เราถึงมาสร้าง เพียงแค่สร้างให้ต่อเนื่องกัน สัก 5นาที 10นาที นี้ก็ยังลำบากอยู่ วันหนึ่งมีกี่นาที วันหนึ่งมีกี่ชั่วโมง เดือนหนึ่งมีกี่วันล่ะ ไอ้สติรู้ตัวเรามีนิดเดียว มันจะไปทันกิเลสได้อย่างไร
เราต้องมาสร้าง มาสร้าง จนชี้เหตุชี้ผล เห็นเหตุเห็นผล จนสติที่เราสร้างจนกลายเป็นมหาสติ จากมหาสติจนกลายเป็นมหาปัญญา จากมหาปัญญาก็จนเป็นกลายปัญญาเอาไปใช้ ไปทำความเข้าใจ ชี้เหตุชี้ผล แต่เวลานี้เพียงแค่สร้าง เราก็ยังทำไม่ได้ มันจะเอาไปชี้เหตุชี้ผล เอาไปประหัตประหารกิเลสได้อย่างไร
ความเพียรของเรามีเพียงพอแล้วหรือยัง ความเสียสละของเรามีเพียงพอแล้วหรือยัง ความกระตือรือร้น การฝักใฝ่ การสนใจ อบรมใจของตัวเรา ใจของเรามีความอ่อนน้อมถ่อมตน หรือว่ามีความแข็งกระด้าง ใจของเรามีพรหมวิหาร มีความกตัญญูกตเวทีหรือเปล่า เราต้องพยายามวิเคราะห์ ไม่ใช่จะเอาตั้งแต่ทิฐิ มานะ อำนาจของกิเลสเข้าห้ำหั่นกัน คอยตั้งแต่อคติคนโน้นคนนี้ ค่อยเพ่งโทษคนโน้นคนนี้ มีแต่คนโง่คนพาลเท่านั้น ที่ไปมองโลกในแง่ร้าย มองโลกในแง่ไม่ดี เราต้องมาแก้ไขตัวเรา มาปรับปรุงตัวเรา เอาชนะตัวเรา สร้างความขยันหมั่นเพียร สร้างความรับผิดชอบ ให้มีให้เกิดที่ใจของเรา
ทุกคนก็มีบุญอยู่แล้ว ก็ต้องพยายามสร้างความเพียรให้มีให้เกิดขึ้น ล้มแล้วลุกขึ้นมาใหม่ พลั้งเผลอแล้วเริ่มขึ้นมาใหม่ ความเป็นจริงมีอยู่ เหตุมีอยู่ ผลมีอยู่ หลักธรรมมีอยู่ แนวทางมีอยู่ พระพุทธองค์ท่านได้ค้นพบแล้วก็เอามาเปิดเผย ท่านว่าให้ปฏิบัติอย่างนี้ ทำอย่างนี้ จะเห็นอย่างนี้ การเจริญสติจะเข้าไปรู้ เข้าไปเห็นการแยกรูปแยกนาม ตามทำความเข้าใจ เห็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ในกายของเรา ในขันธ์ห้าของเรา อันนี้เป็นส่วนรูปนะ อันนี้ส่วนนามนะ
กายวิเวกเป็นอย่างนี้ ใจวิเวกเป็นอย่างนี้ การละกิเลสหยาบเป็นอย่างนี้ การละกิเลสละเอียดเป็นอย่างนี้ การทำความเข้าใจเป็นอย่างนี้ เราจะไปหนีสมมติมันหนีไม่ได้ เพราะว่ากายของเราเป็นก้อนสมมติ เราต้องทำความเข้าใจ ให้เคารพสมมติ อยู่กับสมมติ เคารพสมมติ สมมติในกายของเรา แล้วก็สมมติที่ล้นออกไปสู่โลกธรรมอีก เราต้องพยายามทำความเข้าใจกัน
ไม่ว่าพระ ว่าโยม ว่าชี อย่าไปเกียจคร้าน หลวงพ่อเพียงแค่เล่า แค่ชี้ แค่แนะ แค่บอกวิธี สื่อความหมายของภาษาสมมติที่จะดำเนินให้ถึงเท่านั้น พวกท่านจะไปทำหรือไม่ ก็เป็นสิทธิ์ของพวกท่าน ถ้าไปทำ เออเห็นปรากฏการณ์เป็นอย่างนี้ ปรากฏขึ้นกับเราเป็นอย่างนี้ เราก็จะได้รับความจริงเป็นอย่างนี้ ทั้งที่แนวทางมีมาตั้งนาน มีมาตั้งนานแล้วแหละ ถ้าเราชนะเราแล้วเราก็ชนะไปหมด ก็ต้องพยายามกัน
เรามีโอกาสเรามาสร้างกองบุญเอาไว้ ให้กับสถานที่ ให้กับคนรุ่นลูกรุ่นหลาน พวกเราจากไปคนรุ่นหลังก็จะได้มาสานต่อ พวกเราก็จะได้อยู่ดีมีความสุขในขณะมีลมหายใจอยู่ เราอยากจะได้ธรรมชาติ เราก็ต้องพยายามปลุกสร้างธรรมชาติขึ้นมา เราไม่อยากจะได้ก็ต้องได้ เพราะว่าการกระทำของเรามี เราอยากจะได้ธรรม เราก็ต้องหมั่นอบรมใจของเรา หมั่นละกิเลสออกจากใจของเรา เราไม่อยากให้ใจของเราสะอาด ก็ต้องสะอาด เพราะว่าการละกิเลสของเรามี ถ้าการละกิเลสไม่มี การเจริญสติไม่มี มีแต่ความอยาก อยากจะได้ธรรม มีแต่ความทะยานอยาก จะไปหาที่ไหนมันก็ไม่ได้หรอก
ถ้าเรารู้จักละตัวเราแก้ไขตัวเรา อบรมใจของเราอยู่ตลอดเวลาตั้งแต่ตื่นขึ้นมาจนกระทั่งนอนหลับ ตื่นขึ้นมาเอาใหม่ แก้ไขใหม่ เราไม่อยากจะได้ เราก็ต้องได้ เพราะว่าการกระทำของเรามี ให้รู้ด้วย ให้เห็นด้วย เข้าถึงด้วย ให้เข้าถึงให้รับความสงบความสุขนั้นด้วย นั่นแหละท่านถึงบอกให้เชื่อ
เอาล่ะวันนี้หลวงพ่อขอเจริญธรรมเพียงเท่านี้ พากันไหว้พระพร้อม ๆ กัน พากันไปสร้างสานต่อ ทำความเข้าใจกันเอา