PAGODA

  • Create an account
  • Forgot your username?
  • Forgot your password?
or

Connection

Your e-mail is required to ensure the proper functioning of the Website and its services and we make a commitment not to reveal it to third parties

  • หน้าแรก
  • ฐานข้อมูล
  • เสียง
  • วีดิทัศน์
  • E-Books
  • กิจกรรม
  • บทความ
PAGODA
  • หน้าแรก
  • ฐานข้อมูล
  • เสียง
  • วีดิทัศน์
  • E-Books
  • กิจกรรม
  • บทความ

เข้าสู่ระบบ / สมัครสมาชิก

เข้าสู่ระบบ

  • สมัครสมาชิก
  • ลืมชื่อผู้ใช้?
  • ลืมรหัสผ่าน?

Search

  • หน้าแรก
  • เสียง
  • พระอาจารย์สำราญ ธมฺมธุโร
  • ตามความเป็นจริง81
ตามความเป็นจริง81 รูปภาพ 1
  • Title
    ตามความเป็นจริง81
  • เสียง
  • 11825 ตามความเป็นจริง81 /aj-sumran/81.html
    Click to subscribe
    • Share
    • Tweet
    • Email
    • Share
    • Share

ผู้ให้ธรรม
พระอาจารย์สำราญ ธมฺมธุโร
วันที่นำเข้าข้อมูล
วันพุธ, 28 มิถุนายน 2566
ชุด
ตามความเป็นจริง
  • แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [ลองพูดคุยกับ AI ทาง Line]

  • ตามความเป็นจริง ลำดับที่ 81

    วันที่ 15 กันยายน 2557

    ขอให้ญาติโยมเราทุกคนทุกท่านจงเจริญสติ สร้างความรู้สึกรับรู้ สัมผัสของลมหายใจของเราให้ชัดเจน

    หยุดความนึกคิดปรุงแต่งต่าง ๆ เอาไว้ชั่วครั้งชั่วคราว ถึงเราหยุดไม่ได้เด็ดขาด เรายังแยกรูปแยกนามไม่ได้ ก็ขอให้เจริญสติให้ต่อเนื่อง สร้างความรู้สึกตัวให้ต่อเนื่อง ขณะที่กำลังฟังอยู่ น้อมสำเหนียก สูดลมหายใจเข้าไปยาว ๆ ลึก ๆ แล้วก็ผ่อนลมหายใจออกมายาว ๆ สักสองสามเที่ยว ความรู้สึกสัมผัสของลมหายใจ

    ความรู้ตัวนั่นแหละ ส่วนบน ส่วนสมอง เวลาหายใจเข้า ลมจะกระทบปลายจมูกของเรา มีความรู้สึกรับรู้อยู่ ในหลักธรรมท่านเรียกว่า ‘สติ’ ถ้ารู้ตัวให้ต่อเนื่อง เขาเรียกว่า ‘สัมปชัญญะ’  มีความรู้ตัวที่ต่อเนื่อง มีสติสัมปชัญญะ มีความรู้ตัวทั่วพร้อม

    เราพยายามรู้ให้ได้ตลอด ความรู้ตลอดตรงนี้แหละ เขาเรียกว่า ‘รู้อยู่ปัจจุบัน’ ขณะลมหายใจเข้า ลมหายใจออก แล้วก็รู้ให้ต่อเนื่อง ให้เชื่อมโยง  เราก็จะไปเห็นการเกิด การก่อตัวของใจ การก่อตัวของอาการของใจ ใจกับอาการของใจเขาไปรวมกันเป็นตัวเดียวกัน ส่งออกไปภายนอกได้อย่างไร

    แต่ก่อนเรารู้ตั้งแต่ใจกับอาการของใจรวมกันไปแล้ว คิดก็รู้ ทำก็รู้ เขายังหลงอยู่ ในภาพรวมเขายังหลงอยู่ ถึงได้มาสร้างผู้รู้ หรือว่ามาสร้างสติ เข้าไปควบคุมใจ ไปอบรมใจ ไปสังเกตใจจนกว่าใจจะคลายออกจากความคิด แล้วความรู้ตัวตามเห็นการเกิด การดับของขันธ์ห้า ว่าเป็นเรื่องอะไร ใจเข้าไปยินดี ยินร้าย เข้าไปรวมได้อย่างไร นี่แหละ วิชชาถึงปรากฎ ถึงเปิดทางให้ ถึงเรียกว่า ‘สัมมาทิฏฐิ’  เพียงแค่แยกได้ยังต้องตามทำความเข้าใจ แล้วละกิเลสออกให้มันหมดจดอีก ดับความเกิดอีก ให้เกิดด้วยสติ เกิดด้วยปัญญา

    คนทั่วไปนี้จะเอาตั้งแต่ปัญญาของสมมติ อาจจะถูกอยู่ในระดับของสมมติ แต่ในหลักธรรมแล้วยังหลงอยู่ แม้แต่การเกิดของใจ การเกิดกับการไม่เกิด

    การไม่เกิด หมายถึงใจยังไม่ได้คลายออกจากความยึดมั่นถือมั่น หรือว่าใจยังปกติ ใจยังสงบ แต่เขาก็ยังคว่ำอยู่ เขายังไม่ได้หงาย ได้พลิก ถ้าหงายแล้วก็พลิก แล้วก็รับรู้เห็นตามความเป็นจริง นี่เขาเรียกว่า ‘สมมติ’ เรียกว่า ‘วิมุตติ’ หงายจากสมมติไปหาวิมุตติ เหมือนกับฝ่ามือกับหลังมือ ฝ่ามืออยู่ข้างล่าง หลังมืออยู่ข้างบน พอหงายขึ้นมาหลังมือก็อยู่ข้างล่าง ฝ่ามือก็อยู่ข้างบน

    สมมติกับวิมุตติเขาก็รวมกันอยู่อย่างนี้ ใจกับกายก็รวมกันอยู่อย่างนี้ ถ้าใจคลายออกจากความคิด เขาก็หงายขึ้นมาอยู่ข้างบน แต่การเกิดของเขายังมีอยู่ เขายังเกิดกิเลสอยู่ เราก็ต้องมาละมาดับอีก ตามดูความคิดให้รู้เรื่องทุกอย่าง แล้วก็ละออกให้มันหมด

    เราต้องเป็นบุคคลที่มีความเพียร ทั้งภายนอกทั้งภายใน ขยันหมั่นเพียร เจริญพรหมวิหารให้เต็มเปี่ยม ล้มแล้วลุกขึ้นมาใหม่ แก้ไขใหม่ ปรับปรุงตัวเราใหม่อยู่บ่อย ๆ เป็นเรื่องของเรา ไม่ใช่เรื่องของคนอื่น เป็นเรื่องของตัวเราเองทั้งนั้น จนกว่าจะหมดลมหายใจ

    สร้างความรู้สึกรับรู้ สัมผัสของลมหายใจให้ชัดเจน ให้ต่อเนื่องกันสักพักนะ

    พากันไหว้พระพร้อม ๆ กัน ค่อยไปศึกษาทำความเข้าใจต่อกันนะ

logo

  • เกี่ยวกับเรา
  • ติดต่อเรา
  • จดหมายข่าว
  • Privacy Policy
  • Terms of Service