แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
หลวงพ่อฝากไว้ ลำดับที่ 79
วันที่ 1 กันยายน 2557
เจริญธรรมญาติโยมทุกคนทุกท่าน ขอให้ญาติโยมจงเจริญสติ ตั้งแต่เช้าขึ้นมา เราได้สร้างความรู้ตัว เราได้สำรวจใจของเราแล้วหรือยัง ถ้ายัง ก็เริ่มเสียนะ เพียงแค่การเจริญสติ พวกเราก็พยายามสร้างขึ้นมาให้ต่อเนื่องกันได้หรือยัง ตรงนี้แหละสำคัญ
ศรัทธา ความเชื่อในพระรัตนตรัย ทุกคนมีกันเต็มเปี่ยม ทุกคนมีมานานตั้งแต่รุ่นปู่ รุ่นย่า พ่อแม่ พี่น้อง ผ่าน ๆ มา ศรัทธาในพระศาสนา ตรงนี้มีกันเต็มเปี่ยม การทำบุญให้ทาน มีกันอยู่เป็นประจำ การเจริญ รักษาศีลก็มีอยู่เป็นประจำ แต่เราต้องทำความเข้าใจ ไม่ใช่ว่าเจริญสติ ไม่รู้จักสติ อบรมใจ ไม่รู้จักใจ รักษาศีล ไม่รู้จักศีล ศีลก็คือตัวใจนั่นแหละ ใจปกติ ปกติ ใจปกติเขาเรียกว่า ‘ศีล’ ศีลสมมติ กายปกติเขาก็เรียกว่า ‘ศีล’ กาย วาจา ใจปกติเขาเรียกว่า ‘ศีล’
ลึกลงไป ดู รู้ เท่าทันการเกิดของวิญญาณในกายของเราอีก ถ้าเราเห็นลักษณะอาการเกิดของวิญญาณ คลายออกจากอาการของความคิด อาการของขันธ์ห้า อันนี้เขาเรียกว่า ‘สัมมาทิฏฐิ’ ความเห็นถูก แล้วก็วิปัสสนา ความรู้แจ้งเริ่มเปิดทาง เริ่มปรากฏ ถ้าเราตามดู รู้ เห็น การเกิดการดับของความคิด อารมณ์ต่าง ๆ เห็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา เกิดขึ้นตั้งอยู่ดับไป อันนี้ปัญญารู้อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ในกาย ในขันธ์ห้าของตัวเรา ซึ่งเป็นส่วนนามธรรม ตัววิญญาณต้องว่างรับรู้อยู่ สติก็ตามดู ตามรู้ ตามเห็น ใจก็ต้องว่างรับรู้อยู่ อันนี้เขาเรียกว่า ‘ปัญญา’ ปัญญาแยกได้แล้วตามดู รู้ความจริง รู้ความไม่เที่ยงของขันธ์ห้า จนขี้เกียจตามนั่นแหละ เห็นความไม่เที่ยงเป็นแค่เพียงอาการ เป็นแค่เพียงมายา แล้วก็ค่อยละ แล้วก็ค่อยดับ
แล้วทีนี้เราก็มาละกิเลสที่ใจของเรา มาดับความเกิดที่ใจของเรา กิเลสเกิดขึ้นที่ตรงไหน กิเลสหยาบ กิเลสละเอียด มันก็จะไล่เรียบเรียงเข้าไปเรื่อย ๆ ใจของเราก็จะสะอาดมากขึ้น ๆ จนเข้าสู่ความบริสุทธิ์นั่นแหละ หรือว่า ‘นิพพาน’ ความว่างนั่นแหละ เป็นขั้นเป็นตอนไป
เราพยายามอย่าเอาอยู่แค่การทำบุญให้ทาน จงพยายามดำเนินให้ถึงจุดหมาย ทั้งสติทั้งปัญญา อยู่ด้วยสติ อยู่ด้วยปัญญา เจริญสติเข้าไปชี้เหตุชี้ผล เห็นเหตุเห็นผล ตามทำความเข้าใจ อะไรคือสมมติ อะไรคือวิมุตติ คำว่าอัตตา อนัตตาเป็นอย่างไร มีเรื่องเดียวเท่านั้นแหละที่จะต้องศึกษา คือเรื่องชีวิตของเรา
กายของเรามีอะไรบ้าง ท่านแจงออกให้เห็นว่า กายของเราเป็นก้อนทุกข์ มีอยู่ห้าขันธ์ มีขันธ์ ‘วิญญาณ’ หรือว่า ‘ใจ’ เนี่ย เป็นขันธ์สุดท้าย เราต้องมาเจริญสติตัวใหม่เข้าไป ใหม่ ๆ ก็ต้องทั้งอบทั้งรม ทั้งข่ม ทั้งละ ทั้งขัดทั้งเกลา เพราะว่าใจเขาเกิดมานาน เขาหลงมานาน เขาสร้างกายเนื้อ สร้างขันธ์ห้ามาปกปิดตัวเขาเอาไว้
นอกจากบุคคลที่ดำเนินตามแนวทางของพระพุทธองค์ คือการเจริญสติ คำว่า ‘สติรู้ตัวอยู่ปัจจุบัน’ เราต้องสร้างขึ้นมา แล้วก็สร้างให้ต่อเนื่อง แล้วก็ให้รู้เท่าทันใจ จนกว่าใจของเราจะคลายออกจากความคิด ถ้าคลายออกจากความคิดได้ ทุกสิ่งทุกอย่างก็เริ่มเปิดทางให้ กายก็จะว่าง กายก็จะเบา ก็จะเข้าใจคำสอนของพระพุทธองค์ คำว่า ‘อัตตา’ เป็นอย่างไร ‘อนัตตา’ เป็นอย่างไร การเกิด การดับ ทุกข์ สมุทัย นิโรธ เข้าหลักของอริยสัจเป็นลักษณะอย่างไร ก็จะปรากฏเกิดขึ้นที่ใจของตัวเรา
การได้ยิน ได้ฟัง ได้อ่าน ทุกคนมีกันเต็มเปี่ยม แต่การลงมือ การสังเกต ล้มแล้วลุกขึ้นมาใหม่ พลั้งเผลอเริ่มใหม่ ๆ จนรู้ จนเห็น จนเป็นอัตโนมัติ ในการดู ในการรู้ ในการทำความเข้าใจนั่นแหละ ถึงจะอยู่ด้วยปัญญาล้วน ๆ รู้ด้วย เห็นด้วย ถ้าไม่ละ ก็เหมือนเดิม ถ้าไม่ละ ไม่ดับ ไม่ขัดเกลาออก ใจก็จะยังเกิดอยู่เหมือนเดิม เพียงแค่การเกิด เขาก็ปิดกั้นตัวเอง แล้วเกิดความอยาก ความไม่อยากอีก ทุกอย่างต้องดู ต้องรู้ ให้ใจของเราอยู่ในความว่าง ความเป็นกลาง ความบริสุทธิ์ พูดง่ายเนาะ แต่ต้องมีความเพียรให้ต่อเนื่อง สักวันนึงเราก็คงเดินถึงจุดหมายปลายทางกัน
สร้างความรู้สึกรับรู้ สัมผัสของลมหายใจให้ชัดเจน
พากันไหว้พระพร้อม ๆ กัน ค่อยไปสร้างสานต่อเอาด้วยตัวของเราเอง