แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
หลวงพ่อฝากไว้ ลำดับที่ 78
วันที่ 26 สิงหาคม 2557
ขอให้ญาติโยมเรา ทุกคนทุกท่านจงเจริญสติ สร้างความรู้สึกรับรู้ สัมผัสของลมหายใจที่วิ่งเข้าวิ่งออกกระทบปลายจมูกของเราให้ชัดเจน นั่งตามสบาย วางกายให้สบาย ฟังไปด้วย น้อมสำเหนียก
ลองสูดลมหายใจเข้าไปยาว ๆ ลึก ๆ การสูดลมหายใจเข้าไปยาว ๆ ผ่อนลมหายใจออกมายาว ๆ อันนี้เป็นแค่เพียงอุบายเท่านั้นนะ เป็นแค่เพียงอุบาย เป็นแค่เพียงการสร้างความรู้ตัว ลักษณะของความรู้สึกรับรู้ เวลาลมสัมผัสปลายจมูกของเรา มีความรู้สึกรับรู้อยู่ ความรู้สึกตรงนี้แหละ เราพยายามสร้างให้เกิดความเคยชิน ให้ต่อเนื่อง เราเรียกว่า ‘สติ’ ถ้าเรารู้ให้ต่อเนื่อง เขาเรียกว่า ‘สัมปชัญญะ’
เพียงแค่การสร้าง การทำให้ต่อเนื่อง ตรงนี้ความเพียรของเราก็มีน้อย ทั้งที่ใจบางทีก็สงบอยู่ บางทีใจก็เป็นบุญอยู่ ใจปรารถนาอยากจะรู้ อยากจะรู้ธรรม แต่ความเกิดของใจ เขาปิดกั้นตัวเขาเอาไว้ เพราะว่าเขายังเกิดอยู่ เขาเกิดมานาน เกิดยังไม่พอ เขาก็มาสร้างภพของมนุษย์ ซึ่งเรียกว่า ‘ขันธ์ห้า’ ซึ่งมีกายเนื้อเป็นก้อนรูป ในส่วนนามธรรมก็มีอยู่สี่อย่าง สี่ส่วน คือตัววิญญาณ ตัวความคิด ตัวอารมณ์นั่นแหละ ซึ่งเป็นฝ่ายนามธรรม เขาหลงตรงนั้นอยู่ เขาเกิดมาสร้างภพมนุษย์ปิดกั้นตัววิญญาณตัวเขาเอาไว้ ทีนี้แล้วเขาก็เกิดต่อ เขายังอาศัยกายเนื้ออยู่ ถ้ากายเนื้อแตกดับ เขาก็ไปเกิดต่ออีก
เราต้องมาเจริญสติเน้นลงอยู่ที่กายของเรา เพื่อที่จะไปอบรมใจ ไปวิเคราะห์ใจ หรือวิเคราะห์ไม่ทันก็รู้จักควบคุม จนกว่าใจของเราจะคลายออกจากขันธ์ห้า เป็นอิสระ เขาเรียกว่า ‘แยกรูปแยกนาม’ เพียงแค่คลาย เพียงแค่ความเห็นที่ถูกในหลักธรรม การตามทำความเข้าใจอีก เขาเรียกว่า ‘เห็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา’ ในขันธ์ห้า รู้ความว่างเปล่า ตามคำสอนของพระพุทธองค์ ถ้าเราแยกแยะได้ ตามดูได้ เราถึงจะเห็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ปรากฏขึ้นที่ใจของเราที่กายของเรา
ตามดูทุกเรื่อง ทำไมใจถึงเกิด ทำไมใจถึงหลง ทำไมใจถึงเกิดเข้าไปหลงเข้าไปยึด เขาหลงกันอย่างแนบเนียนมากเลยทีเดียว ถ้าการวิเคราะห์ การสังเกต การเจริญพรหมวิหาร การเสียสละ การขัดเกลา การเอาออกไม่มี มันก็ยาก เราต้องพยายาม แต่ก็ไม่เหลือวิสัย ต้องพยายามเดินให้ถึงจุดหมายปลายทางกัน
เดินไม่ถึงช้าก็ต้องถึงเร็ว ตราบใดที่เรายังเดินอยู่
เดินตามที่พระพุทธองค์ท่านได้ชี้แนะแนวทางเอาไว้ให้ การสร้างบารมี การละกิเลส ละกิเลสหยาบ กิเลสละเอียด กิเลสเกิดขึ้นที่กาย เกิดขึ้นที่ใจ ความโลภ ความโกรธ ความทะเยอทะยานอยาก ความพลั้งเผลอ ความยินดียินร้าย ทุกเรื่องแหละในชีวิตของเรา เราต้องทำความเข้าใจให้ได้ แต่ส่วนมากเราอาจจะทำความเข้าใจได้อยู่ในระดับปัญญาของโลกีย์ แต่เรายังแยกไม่ได้ คลายไม่ได้ ก็ขอให้อยู่ในกองบุญ
ค่อย ๆ เดิน ล้มแล้วลุกขึ้นมาใหม่ แก้ไขใหม่ ถ้าเราเข้าใจแล้ว เราก็เอาการเอางานเป็นการปฏิบัติ ทำงานไปด้วย ใจรับรู้ไปด้วย มีความสุข อันนี้งานภายนอก งานภายใน ต่างฝ่ายต่างอิงอาศัยกันอยู่ ไปอยู่ที่ไหนก็จะมีตั้งแต่ความสุข รู้จักแก้ไขตัวเรา
การมีข้อวัตรปฏิบัติ จะคร่ำเคร่งมากมายถึงขนาดไหน ข้อวัตรหยาบ ข้อวัตรละเอียด จุดหมายก็เพื่อที่จะละกิเลส ละกิเลสหมดทุกอย่างเลยทีเดียว ละกิเลสแล้วก็วิธีการคลายความหลง แยกรูปแยกนาม เดินเข้าสู่ตัววิปัสสนา ใจของเรามีกิเลสมาก กิเลสน้อย เราขัดเกลาได้มาก ได้น้อย จะค่อยเบาบางลงไปเรื่อย ๆ จนกว่าไม่เหลือ จนในความไม่เหลือนั้น คือความบริสุทธิ์ในความว่าง แม้แต่การเกิดของตัวใจ เราก็ต้องหยุด ต้องดับ หนุนกำลังสติไปเกิดแทน พูดง่าย แต่การลงมือนี่ต้องขยันหมั่นเพียรเป็นเลิศ ทุกเรื่อง ถึงจะเดินถึงจุดหมายได้ ได้บ้าง ไม่ได้บ้างก็พยายามอย่าไปทิ้ง
ตื่นขึ้นมาก็รีบรู้ใจ แก้ไขใจ บอกตัวเองให้ได้ ใช้ตัวเองให้เป็น อย่าไปเที่ยวหาที่โน้น หาที่นี่ ต้องหาลงที่ใจของเรา ที่กายของเรา สนามรบอยู่ที่นี่ นอกนั้นเราก็เปลี่ยนแค่สถานที่ เปลี่ยนกาล เปลี่ยนเวลา เปลี่ยนโอกาส เราไม่เข้าใจ เราก็ไปศึกษาแนวทาง รู้จักวิธีแล้วก็ไปดำเนิน อยู่คนเดียวก็มีความสุข กายวิเวกเป็นยังไง ใจวิเวกเป็นยังไง ขณะทำงาน ใจของเราก็วิเวกจากการเกิด วิเวกจากกิเลส วิเวกจากขันธ์ห้า วิเวกจากการปรุงแต่ง มีความสุข
สติเราพลั้งเผลอได้ยังไง สติเราหลุดได้ยังไง สติเราสร้างขึ้นมาจนกลายเป็นมหาสติ จากสติเอาไปวิเคราะห์ พิจารณาจนกลายเป็นปัญญา จากปัญญาก็กลายมาเป็นมหาปัญญา จนเอาไปใช้การใช้งานได้ สติ สมาธิ ปัญญา ถึงเวลาเขาก็จะรักษาเราเอง
สร้างความรู้สึกรับรู้ให้ต่อเนื่องกันสักพักนะ
พากันไหว้พระพร้อม ๆ กัน พากันไปสร้างสานต่อนะ นี่หลวงพ่อเพียงแค่เล่าให้ฟัง