แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
หลวงพ่อฝากไว้ ลำดับที่ 77
วันที่ 24 สิงหาคม 2557
เจริญธรรมญาติโยมทุกคนทุกท่าน ขอให้ญาติโยมจงเจริญสติ สร้างความรู้สึกรับรู้ สัมผัสของลมหายใจที่วิ่งเข้าวิ่งออกกระทบปลายจมูกของเราให้ชัดเจน ให้ต่อเนื่อง หยุดความนึกคิดปรุงแต่งต่าง ๆ เอาไว้ชั่วครั้งชั่วคราว ถึงเราละไม่ได้ หยุดไม่ได้เด็ดขาด ก็ให้รู้จักวิธีการสร้างความรู้ตัว รู้จักวิธีการเจริญสติ ฟังไปด้วย น้อมสำเหนียก
ลองสูดลมหายใจเข้าไปยาว ๆ ลึก ๆ แล้วก็ผ่อนลมหายใจออกมายาว ๆ อย่าไปบังคับลมหายใจ แล้วก็อย่าไปเกร็งร่างกาย ผ่อนคลายกล้ามเนื้อร่างกายให้เป็นธรรมชาติที่สุด แล้วก็สูดลมให้เป็นธรรมชาติที่สุด ความรู้สึกสัมผัสของลมที่วิ่งเข้าวิ่งออกกระทบปลายจมูกของเรา นั่นแหละ เขาเรียกว่า ‘สติ’ ถ้ารู้เวลาลมสัมผัสเข้าก็มีความรู้สึกรับรู้อยู่ ลมสัมผัสออกก็มีความรู้สึกรับรู้อยู่ รู้ให้ต่อเนื่อง เขาเรียกว่า ‘สัมปชัญญะ’ มีความรู้ตัวทั่วพร้อม
แต่ความรู้ตัวทั่วพร้อมเรามีอยู่กระท่อนกระแท่น ภายใน 5นาที 10นาที อาจจะมีอยู่บ้าง สักครั้ง 2ครั้ง เราพยายามสร้างขึ้นมา แล้วก็พยายามทำให้ต่อเนื่อง จนเป็นความเคยชินในการรู้กาย รู้ลมหายใจเข้าออกของเรา อันนี้เป็นขั้นพื้นฐาน ต้นเหตุของการเจริญสติเพื่อที่จะเข้าไปรู้ใจของเรา รู้การเกิดการดับของใจ รู้การก่อตัวของใจ รู้อาการของใจ รู้อาการของขันธ์ห้า ทำไมใจถึงเกิด ทำไมใจถึงหลงขันธ์ห้า จนเป็นอัตตาตัวตน แล้วก็ทำความเข้าใจกับภาษาธรรมภาษาโลก
ภาษาธรรม สักแต่ว่าดู สักแต่ว่ารู้ สักแต่ว่าฟัง คำว่า ‘ขันธ์ห้า’ เป็นกองเป็นขันธ์ เป็นกองเป็นขันธ์อย่างไร เราต้องสังเกตตัววิญญาณ คลายตัววิญญาณออกจากความคิด ออกจากอารมณ์ ก็ซึ่งเรียกว่า ‘แยกรูปแยกนาม’ ถ้าคลายได้ แยกได้ ใจพลิกออกจากความนึกคิดปรุงแต่งได้ เขาเรียกว่า ‘วิปัสสนา’ สัมมาทิฏฐิเพียงแค่เริ่มต้น
ทุกคนนั้นมีสัมมาทิฏฐิอยู่ แต่ยังเดินปัญญาไม่ได้ มีจิตใจฝักใฝ่ในการทำบุญ ในการให้ทาน มีศรัทธาเชื่อมั่นในพระรัตนตรัย แต่การเจริญสติเข้าไปสังเกต จนเห็นลักษณะใจเคลื่อนเข้าไปรวมกับอาการของใจ ตรงนี้ไม่ค่อยจะมีกันเท่าไหร่ ก็เลยมองไม่เห็นความจริงของชีวิตว่า พระพุทธองค์ท่านสอนเรื่องอะไร คำว่า ‘อัตตา’กับ ‘อนัตตา’ เป็นลักษณะอย่างไร ‘สมมติ’ ‘วิมุตติ’ เป็นลักษณะอย่างไร ความจริงของสมมติ ความจริงของวิมุตติเป็นลักษณะอย่างไร ทุกเรื่องในชีวิตของเรา เราต้องศึกษาค้นคว้าให้ละเอียด ไม่ใช่ว่าไปปล่อยปละละเลย ศึกษาจนไม่มีอะไรที่จะค้นคว้า ที่จะละ ที่จะดับอีกนั่นแหละ เพราะว่าเราขัดเกลา หมั่นขัดเกลา หมั่นพิจารณา หมั่นวิเคราะห์แก้ไขตัวเรา ปรับปรุงตัวเราอยู่ตลอดเวลาตั้งแต่ตื่นขึ้นมา ไม่ปล่อยเวลาทิ้ง เสียดายเวลา อย่าไปปล่อยเวลาทิ้ง
ทุกคนก็มีบุญ ถึงได้เกิดมาเป็นมนุษย์ ทุกคนก็มีโอกาส มีวาสนา ล้มแล้วลุกขึ้นมาใหม่ แก้ไขใหม่ ว่าพระพุทธองค์ท่านสอนเรื่องอะไร การเจริญสติ สติรู้ตัวเป็นลักษณะอย่างนี้ กายวิเวกเป็นลักษณะอย่างนี้ ใจวิเวกเป็นลักษณะอย่างนี้ ใจวิเวกจากการปรุงแต่ง วิเวกจากขันธ์ห้า ใจวิเวกจากการเกิด วิเวกจากกิเลส เราต้องพยายามดู
แต่เวลานี้ใจของเราทั้งทะเยอทะยานอยาก ทั้งยินดียินร้าย ทั้งปรุงแต่งสารพัดอย่าง ก็เพราะเขาหลงมานาน เราต้องมาเจริญสติเข้าไปอบรม ไปข่ม ไปขัด ไปเกลา ชี้เหตุชี้ผล หาเหตุหาผล ให้ใจของเรามองเห็นความเป็นจริง จนหมดความสงสัยได้นั่นแหละ พระพุทธองค์ถึงบอกให้เชื่อ ก็พยายามนะ พยายามอย่าพากันปล่อยเวลาทิ้ง ทุกเรื่องเป็นเรื่องของเราทั้งนั้น
เรามาอยู่รวมกัน ก็ให้อยู่ด้วยความสมัครสมานสามัคคี ถึงวาระเวลาก็ต้องได้จากกัน ไม่ได้พลัดพรากจากกันตอนเป็น ก็ต้องได้พลัดพรากจากกันตอนตาย เพราะเป็นกฎของไตรลักษณ์ กฎ ของความเป็นจริง แต่เราต้องรู้ความจริงภายในใจของเราให้ได้เสียก่อน
ใจของเรานี่ก็แปลก เขาหลงมานาน เขาเกิดมานาน กว่าจะคลาย กว่าจะชี้เหตุชี้ผลได้ เราก็ต้องมาเจริญสติเข้าไปอบรม ไปข่ม ไปสังเกต ไปวิเคราะห์ หาเหตุหาผล แล้วก็เจริญพรหมวิหาร ขัดเกลาเอาออก เอากิเลสออกจากจิตจากใจของเราให้ได้ เหมือนกับมีสายใย หรือว่าวิบากกรรม ถ้าแยกรู้แยกนามไม่ได้ ก็ไปตามวิบากของกรรม ขันธ์ห้าก็มาปรุงแต่งใจ ใจก็ปรุงแต่งรวมกันไป บางทีก็เป็นกุศลบ้าง อกุศลบ้าง บางทีก็มีกิเลส ความโลภ ความโกรธ ความทะเยอทะยานอยาก เข้าไปผสมโรงทุกเรื่อง
ถ้าเราหัดสังเกต วิเคราะห์ จนใจคลายออกได้ เราก็จะมองเห็น เพียงแค่แยกได้ครั้งเดียวยังไม่พอ เราต้องตามทำความเข้าใจให้ได้ทุกเรื่องอีก กิเลสหยาบ กิเลสละเอียด ความคิดเป็นกุศล อกุศล เป็นเรื่องอดีตเรื่องอนาคต เราต้องขัดเกลาเอาออกให้มันหมด ไม่มีอะไรมากหรอก ก็มีอยู่ตั้งแต่อยู่ในขันธ์ห้าของเรานี่แหละ
กายของเรานี่แหละเป็นก้อนทุกข์ เป็นสนามรบ เรามาเจริญสติลงที่กายของเราให้ต่อเนื่องให้ได้เสียก่อน แล้วก็ขัดเกลาเอาออก จะมีจะเป็นก็เป็นเรื่องของปัญญาล้วน ๆ ถ้าเรารู้ใจของเรา เห็นใจของเรา ทำความเข้าใจกับใจของเราได้ อยู่คนเดียวก็มีความสุข อยู่หลายคนก็มีความสุข
การได้ยิน ได้ฟัง ได้อ่าน ทุกคนมีกันเต็มเปี่ยม แต่การลงมือ รู้ให้เท่าทันทุกเรื่อง ตรงนี้แหละ ก็ต้องพยายามกัน สร้างความรู้สึกรับรู้ การหายใจเข้าออกให้ชัดเจน ให้ต่อเนื่องกันสักนิดนึง ก็ยังดี สักนาที 2นาที ความรู้ตัวตรงนี้ ต่อไปข้างหน้าจะเพิ่มเติมเสริมจนกว่าจะเต็มเปี่ยม
พากันไหว้พระพร้อม ๆ กัน ค่อยไปสร้างศึกษาต่อ ทำความเข้าใจกันเอานะ