แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
หลวงพ่อฝากไว้ ลำดับที่ 74
วันที่ 16 สิงหาคม 2557
เจริญธรรมญาติโยมทุกคนทุกท่าน ขอให้ญาติโยมจงเจริญสติ สร้างความรู้สึกรับรู้ สัมผัสของลมหายใจที่วิ่งเข้าวิ่งออกกระทบปลายจมูกของเราให้ชัดเจน แล้วก็ให้ต่อเนื่อง ตั้งแต่ตื่นเช้าขึ้นมา เราได้สร้างความรู้ตัวแล้วหรือยัง เราได้หัดสังเกต หัดวิเคราะห์ หัดสำรวจ ดู รู้ ลักษณะของใจเราแล้วหรือยัง ลักษณะของใจที่ปกติเป็นอย่างไร ใจที่ไม่เกิดเป็นอย่างไร ใจที่เกิดกิเลสเป็นอย่างไร ความคิดเขาก่อตัว อาการเขาเป็นอย่างไร
เราพยายามหัดสังเกต หัดพร่ำสอนใจของเรา ตั้งแต่ตื่นขึ้นมา อะไรคือปัญญาที่จะไปอบรมใจ เราอบรมตั้งแต่ต้นเหตุ รู้ไม่ทันต้นเหตุ เราก็รู้จักหยุด รู้จักระงับ รู้จักควบคุม ส่วนมากก็มีตั้งแต่ปล่อยเลยตามเลย คิดก็รู้ ทำก็รู้ ส่วนมากก็มีตั้งแต่ไปนึกเอา ไปคิดเอา อาจจะถูกต้องอยู่ระดับของสมมติ จิตใจอาจจะเป็นบุญอยู่ระดับของสมมติ แต่ก็ยังหลงอยู่ ตราบใดที่ใจยังเกิด ใจก็ยังหลงอยู่
เรามาเจริญสติเข้าไปอบรมใจ ไปวิเคราะห์ใจ จนกว่าใจจะคลายออกจากความคิดด้วยกันซึ่งเป็นส่วนนามธรรม วิญญาณในกายของเรานั่นแหละ เขาคลายออกจากความคิด ภาษาธรรมท่านเรียกว่า ‘แยกรูปแยกนาม’ เพียงแค่คลาย เพียงแค่แยก ซึ่งเรียกว่า ‘สัมมาทิฏฐิ’ ความรู้แจ้งเห็นจริง ความเห็นถูก คือใจคลายออกจากความคิด ถึงจะเป็นความเห็นถูก เห็นถูกทางด้านจิตวิญญาณ แต่ส่วนมากเราอาจจะมองเห็น ความเห็นถูกในระดับของสมมติ มันก็ถูกให้ได้ทั้งสองอย่าง ทั้งภายนอกทั้งภายใน
ถ้าเราแยกแยะภายในไม่ได้ ใจของเราก็ไปยึดเอาหมดทุกอย่างเลย ทั้งโลกเลย ถ้าเราแยกภายในได้ ก็วางได้หมดทุกอย่าง ทีนี้เราจะละกิเลสได้หมดหรือไม่ ก็ขึ้นอยู่กับความเพียรของเรา ขึ้นอยู่กับความขยันหมั่นเพียร ขึ้นอยู่กับการสร้างตบะ สร้างบารมี ไม่เหลือวิสัย อย่าไปทิ้งบุญ ในการทำบุญ ในการให้ทาน ไม่ว่าทานทางด้านวัตถุ ทานทางกิเลส ทานความยึดมั่นถือมั่น ให้อภัยทาน อโหสิกรรมอยู่ตลอดเวลา มองโลกในทางที่ดี คิดดี อย่าไปปล่อยเวลาทิ้ง เสียดายเวลา เวลาทุกลมหายใจเข้าออกมีคุณค่ามากมายมหาศาล ถ้าเราหมั่นพร่ำสอนใจของเราไม่ได้ ก็จะปล่อยเวลาทิ้ง มองโลกในทางที่ดี คิดดี มันไม่มีอะไรมากมายหรอก
พระพุทธองค์ท่านก็สอนเรื่องชีวิตของเรานี่แหละ ว่ากายของเรามีอะไรบ้าง มีวิญญาณเข้ามายึดมาติด มาสร้างกายเนื้อเข้ามาปิดกั้นตัวเอง กายเนื้อของเรามีกี่กอง กี่ขันธ์ ที่ท่านว่าเป็นกองเป็นขันธ์ เป็นกองขันธ์ ขันธ์ห้า เป็นกองทุกข์
ขันธ์ทั้งห้า มีขันธ์ ขันธ์ไหน ขันธ์หรือว่ากองไหนบ้าง กองรูปก็ร่างกายที่เรานั่งอยู่นี่แหละ กองนาม กองวิญญาณ กองความคิด อารมณ์ ซึ่งเป็นฝ่ายนามธรรม มันมีหมดอยู่ในกายของเรา ทีนี้ตัววิญญาณก็ยังเกิดกิเลสอีก ยังส่งออกไปภายนอกอีก การเกิดนั่นก็ปิดกั้นตัวเขาเอาไว้ เรามาหยุด มาละ มาดับ มาคลาย แล้วก็จะใกล้เข้าไปถึงตัวของเขา
การก่อตัวปุ๊บ เราหยุดปุ๊บ ก็ถึงตัวของเขา แต่ส่วนมากก็มีตั้งแต่คิดหาวิธี หาแนวทางมาปิดกั้นตัวเองก็ยังไม่พอ อาการของขันธ์ห้าก็มาปิดกั้นอีก กายเนื้อก็มาปิดกั้นอีก ตัววิญญาณก็เกิดกิเลส ความยินดียินร้าย กิเลสหยาบ กิเลสละเอียดอีก แม้แต่การเจริญสติ สติก็ยังพลั้งเผลอ มีความเกียจคร้าน มีนิวรณ์เข้ามาครอบงำ สารพัดอย่าง
ถ้าเราฝึก นี่ก็เป็นการฝืน เป็นการทวนกระแสกิเลส ถ้าแยกได้ คลายได้ ตามดูได้ ใจถึงจะตกกระแสธรรม เราดับ เราละได้หมดจดอีกหรือไม่อีก ต้องเป็นบุคคลที่มีความเพียรอย่างยิ่งยวดเลยทีเดียว เป็นบุคคลที่ทำความเข้าใจให้ถูกต้อง แล้วก็ตามทำความเข้าใจให้รู้ทุกเรื่อง จนหมดความสงสัย หมดความลังเล จนไม่มีอะไรที่จะไปค้นคว้า จนมีแต่ดูกับรู้ รู้จักวางใจ รู้จักวางกาย รู้จักบริหารสติปัญญาเอาไปใช้กับสมมติ ไม่ใช่ว่าทำปุ๊บจะได้ปั๊บ ค่อยทำ ค่อยเป็น ค่อยไป จากเล็ก ๆ น้อย ๆ ค่อยสร้างสะสมไป
คนเรานี้มีบุญมาก่อนแล้วแหละ ถึงได้เกิดมาเป็นมนุษย์ แล้วก็มีโอกาสได้สร้างบารมีกันให้ถึงจุดหมายปลายทางกัน ก็ต้องพยายาม อย่าไปทิ้ง ไม่ว่าจะอยู่ที่ไหน ทำกายให้เป็นวัด ทำใจให้เป็นพระ เจริญสติเข้าไปเยี่ยมพระอยู่บ่อย ๆ อยู่บ้านก็เป็นวัด อยู่ที่ทำงานก็เป็นวัด ถ้าบุคคลเข้าใจแล้ว อยู่ที่ไหนก็ได้เข้าวัดตลอดเวลา เพราะว่าทำกายให้เป็นวัด ทำใจให้เป็นวัด เจริญสติเข้าไปดู รู้ อบรมใจอยู่ตลอดเวลา จะยืน เดิน นั่ง นอน กิน อยู่ ขับถ่าย มีสติคอยอบรมใจ นั่นแหละเขาเรียกว่า ‘การเจริญภาวนา’ อยู่ตลอดเวลา จนหมดความสงสัย หมดความลังเลต่าง ๆ งานภายในก็จบ ยังงานภายนอก งานสมมติให้เกิดประโยชน์ให้มากมายมหาศาลกัน
เอาล่ะวันนี้ก็ขอเจริญธรรมเพียงเท่านี้ พากันไหว้พระพร้อม ๆ กัน พากันสร้างสานต่อ ทำความเข้าใจกันเอานะ