แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
ตามความเป็นจริง ลำดับที่ 73
วันที่ 25 สิงหาคม 2557
ขอให้ญาติโยมเราทุกคนทุกท่านจงเจริญสติ สร้างความรู้สึกรับรู้สัมผัสของลมหายใจของเราให้ชัดเจน
เพียงแค่การเจริญ การทำให้มีให้เกิดขึ้น ตรงนี้ พวกเราก็ทำกันลำบาก เพราะว่าความเพียรไม่ค่อยมี มีตั้งแต่ศรัทธากับความอยากจะได้บุญ อยากจะรู้ธรรม เขาปิดกั้นตัวเขาเอาไว้หมดแล้ว
มีศรัทธา แต่เป็นปัญญาที่เกิดจากปัญญาของสมมติ ของโลกีย์ มันก็ได้บุญอยู่ในระดับของสมมติ แต่จะเข้าไปดับทุกข์ ไปแก้ไข ไปละกิเลสออกจากใจของเรานั้นไม่มีเลย เพราะว่ากำลังสติของเรามีน้อย เราไม่เห็น ไม่รู้ลักษณะของการก่อตัวของใจ การก่อตัวของขันธ์ห้า ซึ่งเขามีอยู่ในกายของเราหมด
เราถึงให้มาเจริญสติ หลวงพ่อถึงเน้นตั้งแต่เรื่องการเจริญสติ เพื่อที่จะให้ต่อเนื่อง ส่วนบารมีส่วนอื่นนั้นมีกันมาดีหมดแล้ว ศรัทธา ความเชื่อมั่น เชื่อในพระรัตนตรัย เชื่อบุญเชื่อบาป ตรงนี้มีกันหมดทุกคน ฝักใฝ่ในการทำบุญ ในการให้ทาน อันนี้ก็มีกันมาแต่ก่อน แต่การสร้างความรู้ตัวเข้าไปควบคุมใจ ไปอบรมใจจนกว่าจะรู้ลักษณะของใจ จนกว่าใจจะคลายออกจากขันธ์ห้า เห็นการเกิดการดับของขันธ์ห้า เห็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ตามคำสอนของพระพุทธองค์ ตรงนี้ไม่ค่อยจะมีกันเลย
คิดก็รู้ ทำก็รู้ เรารู้อยู่ แต่เราไม่เคยรู้ถึงฐานการก่อตัว การทำความเข้าใจทุกเรื่อง กายของเราทำหน้าที่อย่างไร วิญญาณของเราทำหน้าที่อย่างไร มันก็เลยปิดกั้นตัวเองเอาไว้หมด ก็ได้แค่ทำบุญ ให้ทาน ก็ยังดี ดีกว่าไม่ได้ทำ พยายามกัน ไม่ว่าพระ ว่าโยม ว่าชี
คนที่มีบุญ มีอานิสงส์ มีสติ มีปัญญา ฟังนิดเดียว การเจริญสติเป็นอย่างนี้นะ การเชื่อมโยงเป็นอย่างนี้ การเกิดการดับของวิญญาณเป็นอย่างนี้ ทำไมวิญญาณในกายของเราถึงเกิด ทำไมวิญญาณในกายของเราถึงเป็นทาสของกิเลส ทำไมความคิดกับวิญญาณไปรวมกันเป็นตัวเดียวกันได้
อันนี้ส่วนรูปกายเป็นอย่างนี้ ทวารทั้งหกทำหน้าที่อย่างนี้ หู ตา จมูก ลิ้น กาย นี่ทำหน้าที่อย่างนี้ วิญญาณทำหน้าที่อย่างนี้ ไอ้ตัวรู้หรือว่าความรู้ตัวตัวใหม่ที่เราสร้างขึ้นมานี้ เพียงแค่สร้าง แล้วก็เอาไปใช้ก็ยังไม่เป็น เพียงแค่สร้างก็ยังไม่ต่อเนื่อง ก็เลยมองเห็นตั้งแต่ความถูกต้องระดับของสมมติ แต่ความถูกต้อง การละกิเลสหยาบ กิเลสละเอียด ตามขั้นตามตอน ตรงนั้นมันไม่ค่อยมีเท่าไหร่ นอกจากบุคคลที่มีความเพียรเป็นเลิศ มีความเพียรที่ต่อเนื่อง ชี้เหตุชี้ผล เห็นเหตุเห็นผล ไม่จำเป็นต้องไปพูดมาก ฟังมากเลย เพียงแค่รู้นิดเดียว
ติดตามดู รู้ใจตั้งแต่ตื่นขึ้นมา กายวิเวกเป็นอย่างนี้ ใจวิเวกเป็นอย่างนี้ ใจที่ไม่เกิดเป็นอย่างนี้ ใจที่คลายออกจากความคิดเป็นอย่างนี้ ถ้าเรารู้ตรงนี้แล้ว กำลังสติของเราจะพุ่งแรง ตามทำความเข้าใจทุกเรื่อง ไม่ปล่อยปละละเลย จนกว่าจะถึงจุดหมาย จนกว่าจะละกิเลสได้หมด เขาถึงจะหยุดกลายเป็นมหาสติ มหาปัญญา จนไม่ได้สร้าง
มีแต่ดูกับรู้ ทำความเข้าใจกับสมมติ ท่านถึงบอกว่าให้รอบรู้ในกองสังขาร ให้รอบรู้ในสมมติ อยู่กับสมมติ เคารพสมมติ ไม่ยึดติดสมมติ กายของเราเข้าร่วมสมมติให้ใจรับรู้ เพราะว่ากายเป็นก้อนสมมติ จะทิ้งสมมติ ก็ในเมื่อหมดลมหายใจนั่นแหละ
อยู่ก็ให้มีความสุข ไปก็ให้มีความสุข อะไรเรารีบแก้ไขได้ เราก็รีบแก้ไขเสีย ขณะที่เรายังมีลมหายใจ ถ้าหมดลมหายใจ ก็มีตั้งแต่เรื่องของกรรม มีตั้งแต่เรื่องของวิบากของกรรม ที่จิตวิญญาณจะต้องเดินทางต่อ ตราบใดที่ยังดับความเกิดไม่ได้ หลวงพ่อก็ได้เพียงแค่เล่าให้ฟัง ย้ำเตือนตั้งแต่ต้นเหตุที่จะเข้าไปดู รู้ใจของเรานี่แหละ
อันอื่นมีกันมาหมด เว้นเสียแต่ว่าพวกท่าน จะไปทำให้มี ให้เกิด ให้ปรากฏ ให้เห็น ได้หรือไม่เท่านั้นเอง ไม่ต้องไปกังวล ไม่ต้องไปลังเล ไม่ต้องไปสงสัยอะไร พยายามทำให้มี ให้ปรากฏ ให้เห็นให้หมดความสงสัย แล้วเดินให้ถึงจุดหมายปลายทางกัน ก็ต้องพยายาม
สร้างความรู้สึกรับรู้การหายใจเข้าออกให้ชัดเจนกันนะ
พากันไหว้พระพร้อม ๆ กัน ค่อยไปสร้างสานต่อทำความเข้าใจกันเอานะ