แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
ตามความเป็นจริง ลำดับที่ 72
วันที่ 19 สิงหาคม 2557
เจริญธรรมญาติโยมทุกคนทุกท่าน ขอให้ญาติโยมจงเจริญสติ สร้างความรู้สึกรับรู้ สัมผัสของลมหายใจที่วิ่งเข้าวิ่งออกกระทบปลายจมูกของเราให้ต่อเนื่อง ให้ชัดเจน
ตั้งแต่ตื่นเช้าขึ้นมา เราได้สร้างความรู้ตัวหรือว่าได้เจริญสติแล้วรึยัง พยายามฝึก สำรวจ ทำความเข้าใจในชีวิตของเราทุกเรื่อง ตั้งแต่ตื่นขึ้นมา อันนี้เรื่องกายของเรา อันนี้เรื่องใจของเรา ทำไมใจของเราถึงเกิด ทำไมใจของเราถึงหลง ทำไมใจของเราถึงเป็นทุกข์ คำว่า ‘ทุกข์’ ทุกข์อยู่ในระดับไหน ทุกข์ทางกายเนื้อ หรือทุกข์ทางด้านจิตวิญญาณ เราต้องศึกษา ค้นคว้า เจริญสติเข้าไปรู้เท่าทัน ทำความเข้าใจให้ได้ แล้วก็รู้จักอบรมใจของเรา แก้ไขใจของเรา จนเป็นอัตโนมัติ ในการทำความเข้าใจ
ทุกคนก็มีบุญ ทุกคนก็มีธรรม แต่จะอยู่ในระดับไหนเท่านั้นเอง เราพยายามดำเนินให้ถึงจุดหมายปลายทางกัน คือความสะอาดความบริสุทธิ์ ดับความเกิดไม่ต้องมาเกิดกัน อย่าปิดกั้นตัวเราเอง ว่าไม่มีโอกาส ว่าไม่มีเวลา ทุกคนมีบุญอยู่แล้ว พยายามทำความเข้าใจ ศึกษา ค้นคว้า หมั่นสังเกต อะไรคือลักษณะของคำว่าสติอยู่ปัจจุบัน การสร้างความรู้ตัวอยู่ปัจจุบัน แล้วก็รู้ให้ต่อเนื่อง อย่างเรารู้กายของเรา รู้ลมหายใจของเรา เวลาลมหายใจเข้าก็มีความรู้สึกรับรู้อยู่ ลมหายใจออกก็มีความรู้สึกรับรู้อยู่ อันนี้เราพยายามฝึกให้เน้นลงอยู่ที่กายของเรา ถ้าเรารู้ให้ต่อเนื่อง เขาเรียกว่า ‘สัมปชัญญะ’
ส่วนการเกิดการดับของวิญญาณ ส่วนการเกิดการดับของอาการของวิญญาณ อยู่ในขันธ์ห้าของเราซึ่งเป็นฝ่ายนามธรรม ตรงนั้นเขามีอยู่ตลอด เรามาสร้างความรู้ตัว ตัวใหม่ ให้เข้มแข็ง ให้ต่อเนื่อง ถ้าต่อเนื่อง เราก็จะรู้การเกิดของใจ ต่อไปข้างหน้าก็เห็น เห็นอาการของใจ เวลาเขาเริ่มเกิด เห็นอาการของความคิด ของขันธ์ห้าที่ผุดขึ้นมาปรุงแต่งใจ ถ้าเรารู้ทันตั้งแต่ต้นเหตุ เขาก็จะคลายออกจากกัน นั่นแหละซึ่งเรียกว่า ‘แยกรูปแยกนาม’ หรือว่า สัมมาทิฏฐิ ความรู้แจ้งเห็นจริงเปิดทางให้ เพียงแค่แยกได้ เราต้องตามทำความเข้าใจอีกทุกเรื่องอีก เราต้องมาละกิเลสที่ใจของเราอีก มาดับความเกิดที่ใจของเราอีก หนุนกำลังสติปัญญาเข้าไปทำหน้าที่แทนทุกเรื่อง จนเอาไปใช้การใช้งานได้ ไม่ใช่เอาไปนึกเอาไปคิดเอา เราก็ต้องพยายาม ได้บ้างไม่ได้บ้าง ก็พยายามทำ อย่าไปปล่อยเวลาทิ้งเสียดายเวลา
อะไรคือสมมติ อะไรคือวิมุตติ เราควรทำสมมติอย่างไร เราจะอยู่กับสมมติอย่างไรถึงมีความสุข ทำไมเราถึงลำบาก ทำไมเราถึงไม่ถึงจุดหมายปลายทางกันเสียที เราก็ต้องพยายาม ขึ้นอยู่กับความขยันหมั่นเพียร ทุกสิ่งทุกอย่างก็ล้วนแต่เกิดแต่เหตุ มีเหตุมีผลทั้งนั้นแหละ เหตุผลก็อยู่ที่กายของเรา อยู่ที่ใจของเรา ย้อนลงไปอยู่ที่วิบากกรรมของเรา เราต้องทำความเข้าใจกับวิบากกรรม แล้วก็แก้ไขกรรม กรรมทางด้านจิตวิญญาณ ซึ่งเป็นนามธรรม เรียกว่า ‘อาการของขันธ์ห้า’
เราก็ต้องทำความเข้าใจ กรรมตัวใหม่ การกระทำตัวใหม่ เราก็ไม่หลงไม่ยึด อยู่เหนือกรรม สร้างกรรมดี แต่ไม่หลงไม่ยึด อยู่ที่ไหนเราก็จะได้อยู่กับบุญ ทำกายให้เป็นบุญ ทำใจให้เป็นบุญ ทำวาจาให้เป็นบุญ ทุกเรื่อง ตั้งแต่ตื่นขึ้นมา
แม้แต่ความอยาก อยากในรูป ในรส ในกลิ่น ในเสียง อยากในอาหาร ถ้าจิตวิญญาณของเราเกิดความอยาก เราก็รู้จักหยุดรู้จักดับ จิตของเราเกิดกิเลส เราก็รู้จักละกิเลส การได้ยินได้ฟัง ทุกคนมีกันเต็มเปี่ยม แต่การทำความเข้าใจ วิเคราะห์ เลาะ จำแนกแจกแจง จิตวิญญาณของเราเนี่ย พูดง่ายนะ แต่การกระทำเนี่ยต้องเป็นบุคคลที่มีความเพียร เป็นบุคคลที่มีการขัดเกลากิเลส เจริญพรหมวิหารให้เต็มเปี่ยม ขยันหมั่นเพียรให้ถึงจุดหมายปลายทางกัน ถ้าขยันหมั่นเพียรแค่ลุ่ม ๆ ดอน ๆ ก็ไม่เข้าใจ ต้องพยายาม ขยันเป็นเลิศ ความเพียรเป็นเลิศ การละกิเลสเป็นเลิศ บอกตัวเองให้ได้ ใช้ตัวเองให้เป็นอยู่ตลอดเวลา ก็ต้องพยายามกัน
สร้างความรู้สึกรับรู้ สัมผัสของลมหายใจเข้าออกให้ชัดเจน ให้ต่อเนื่องกันสักพักนะ
พากันไหว้พระพร้อม ๆ กัน ค่อยไปสร้างทำความเข้าใจต่อ ให้รู้ทุกอิริยาบถ