แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
หลวงพ่อฝากไว้ ลำดับที่ 67
วันที่ 28 กรกฎาคม 2557
ขอให้ญาติโยมเราทุกคนทุกท่านจงเจริญสติ ตั้งแต่ตื่นเช้าขึ้นมาเราได้สร้างความรู้ตัวแล้วหรือยัง เราได้สร้างความรู้สึกรับรู้ให้ต่อเนื่องแล้วหรือยัง ถ้ายังก็เริ่มเสียนะ พยายามฝึก หัดวิเคราะห์ หัดสังเกต หัดน้อมเข้าไปรู้กาย รู้ใจของเราว่า ใจของเราขณะนี้เป็นอย่างไร ใจของเราปกติ ใจของเราสงบ ความรู้ตัว สติ รู้ กายอยู่ปัจจุบัน แล้วก็รู้ให้ต่อเนื่อง ถ้าความพลั้งเผลอ เราก็เริ่มขึ้นมาใหม่
ในชีวิตของเรา อย่าไปปล่อยโอกาสทิ้ง อย่าไปปล่อยเวลาทิ้ง ทุกคนเกิดมาก็มีอานิสงส์ มีบุญ ในระดับของสมมติ ในระดับหนึ่ง เราต้องมาศึกษา มาสร้าง มาทำความเข้าใจให้กระจ่างอีก อย่าไปปิดกั้นตัวเราเอง อย่าไปปิดกั้นว่าไม่มีโอกาส ว่าไม่มีเวลา มีเวลาทุกลมหายใจเข้าออก
งานสมมติ อะไรติดขัด เราก็ทำให้ดี จากน้อย ๆ ไปหามาก ๆ ก็จะยังอานิสงส์ความสะดวกสบายในระดับของสมมติ ทางด้านจิตใจ เราก็ค่อยดับ ค่อยละ ค่อยชี้เหตุชี้ผล จนใจของเราคลายออกจากความคิด ซึ่งเรียกว่า ‘สัมมาทิฏฐิ แยกรูปแยกนาม’ เราก็ตามทำความเข้าใจ เห็นการเกิดการดับของความคิด ซึ่งเป็นฝ่ายของนามธรรมว่ามีอะไรบ้าง ทำไมใจถึงเกิด
ใจหรือว่าวิญญาณในกายของเรา คำว่า ‘ใจ’ คำว่า ‘วิญญาณ” ที่ปราศจากกิเลสเป็นอย่างไร ใจที่ไม่เกิดเป็นอย่างไร ทำไมใจถึงหลง ในส่วนลึก ๆ เขาหลงความคิด หลงอัตตาตัวตน ทำให้ใจหนัก กายหนัก ในหลักธรรมแนวทางของพระพุทธองค์ ท่านว่าไม่มีอะไรเลย มีแต่ความว่างเปล่า แต่เราก็มองเห็น เป็นของเรา เป็นตัวเป็นตนของเรา เราต้องอาศัยปัญญาของผู้รู้ เข้ามาศึกษา เข้ามาปฏิบัติ ใจของเรายังเกิดอยู่เพราะว่าถ้าไม่หลงก็ไม่เกิด เขายังหลงอยู่
เราต้องค้นหาสาเหตุ เจริญสติลงอยู่ที่กายให้ต่อเนื่อง ให้เชื่อมโยง จนกว่าจะเห็นใจคลายออกจากความคิด อันนั้นมันก็ยากอยู่ ถ้าไม่มีความเพียรที่ต่อเนื่องกันจริง ๆ เราจงเพียร ท่านเรียกว่า ‘ฝืนทวนกระแสกิเลส’ เพราะว่าใจชอบคิด ชอบปรุง ชอบแต่ง แล้วก็หาเรื่องมาปกปิดตัวเองเอาไว้ตั้งนาน มาสร้างขันธ์ห้าปกปิดตัวของใจเอง มาสร้างขันธ์ห้า ซึ่งเป็นส่วนนามธรรม ส่วนรูปธรรม ใจยังมีความทะเยอทะยานอยากอีก อยากกับไม่อยากอีก กิเลสหลายเรื่องมาปกปิดดวงใจของเราเอาไว้
เราต้องมาเจริญสติ หัดวิเคราะห์ หัดอบรมใจ เราไม่เห็นใจตั้งแต่แรก เราก็รู้จักหยุด จักดับ รู้จักควบคุม ใหม่ ๆ ก็อาจจะอึดอัด ถ้าใจมันคลาย ตามดูรู้เห็นความเป็นจริง ใจก็จะตกกระแสธรรม ใจก็จะโล่ง ก็จะโปร่ง กายก็จะเบา ทำความเข้าใจกับทวารทั้งหกของเรา ตาทำหน้าที่ดู เราก็ห้ามไม่ได้ หูทำหน้าที่ฟัง เราก็ห้ามไม่ได้ เพราะมันเป็นทางผ่านของรูป รส กลิ่น เสียง
ถ้าเราไม่วิเคราะห์เห็นใจเรา มันก็ยากอยู่ การปฏิบัติธรรมไม่รู้จักธรรม มันก็ยากอยู่ เราต้องรู้ อันนี้คือลักษณะของสติเป็นลักษณะอย่างนี้ การสร้างสติเป็นลักษณะอย่างนี้ การเอาสติปัญญาไปใช้ ปัญญาฝ่ายดับ ฝ่ายทำความเข้าใจ ฝ่ายรู้ ฝ่ายเห็น ฝ่ายละ มันจะตามกันมาเป็นลูกโซ่ ถ้าเราเห็นใจของเรา เห็นขันธ์ห้าของเรา ความเพียรจนถึงจุดหมายปลายทาง จนไม่มีอะไรที่จะละ จนมองเห็นความเป็นจริง มีความสุขในการดู ในการรู้ ในการละกิเลสของเรา
ถ้าเราสอนเราไม่ได้ หรือว่าสติปัญญาสอนใจไม่ได้ ใจมันก็เกิดอยู่อย่างนั่นแหละ ถึงจะเกิดขอให้เกิดอยู่ในกองบุญ กองกุศลเอาไว้ ให้มองโลกในทางที่ดี คิดดี ทำดี การกระทำของเราให้ถึงพร้อม มันถึงจะเกิดประโยชน์อย่างมากมายมหาศาล อย่าพากันเกียจคร้าน พยายามสร้างความขยันหมั่นเพียร ให้มี ให้เกิดขึ้นที่ใจ ที่กายของเรา
ไม่ว่าพระ ว่าโยม ว่าชี คนวัดต้องเป็นคนขยัน ขยันละกิเลส ขยันทำความเข้าใจ ขยันยังสมมติให้เกิดประโยชน์ การขยันหมั่นเพียรของเรามี เราไม่อยากจะได้ มันก็ได้เองนั่นแหละ ในทางสมมติ เราละกิเลสได้ เราไม่อยากให้ใจของเราสะอาด เขาก็สะอาดเองนั่นแหละ มันจะกลับกันทันที ก็ต้องพยายามนะ
เอาล่ะวันนี้ขอเจริญธรรมเพียงแค่นี้ พากันไหว้พระพร้อม ๆ กัน พากันไปสร้างสานต่อทำความเข้าใจกัน