แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
หลวงพ่อฝากไว้ ลำดับที่ 66
วันที่ 27 กรกฎาคม 2557
เจริญธรรมญาติโยมทุกคนทุกท่าน ขอให้ญาติโยมจงเจริญสติ สร้างความรู้สึกรับรู้ สัมผัสของลมหายใจของเราให้ต่อเนื่อง ให้ชัดเจน ตั้งแต่ตื่นเช้าขึ้นมา เราได้สร้างความรู้ตัวแล้วหรือยัง ถ้ายังก็เริ่มเสียนะ
วางภาระหน้าที่การงานทางสมมติ เราก็วางมาแล้ว น้อมกายเข้ามาในวัด เราก็เข้ามาถึงแล้ว ทีนี้การสร้างความรู้สึกตัวก็ให้ต่อเนื่อง ตรงนี้แหละ เราต้องพยายามสร้างขึ้นมา แล้วก็พยายามทำให้ต่อเนื่อง ให้เกิดความเคยชิน ตั้งแต่ตื่นขึ้นโน้น ตั้งแต่ยังไม่ลุกออกจากที่
นั่งตามสบาย วางกายให้สบาย ไม่ต้องพนมมือ หลวงพ่อเพียงแค่เล่าให้ฟัง พวกท่านจงน้อม เข้าไปดู รู้อยู่ที่กาย ที่กายของตัวเราเอง ลองสูดลมหายใจเข้าไปยาว ๆ ลึก ๆ แล้วก็ผ่อนลมหายใจออกมายาว ๆ อันนี้เป็นแค่เพียงอุบาย เป็นแค่เพียงการกระตุ้นความรู้สึกให้ชัดเจน เรื่องการหายใจเข้าออก พวกเราก็ขาดการสังเกต ขาดการวิเคราะห์ ขาดการทำความเข้าใจ ทั้งที่ใจก็ปรารถนาอยากจะรู้ธรรม อยากจะรู้ อยากจะได้บุญ อยากจะละกิเลส ความปรารถนา ความอยาก ความเกิดของใจ เขาปิดกั้นตัวเขาเอาไว้หมด
เพียงแค่การเกิด เขาหลง เขาหลงมานาน เขาถึงเกิด เกิดมาสร้างภพของมนุษย์ มีขันธ์ห้า มีวิญญาณเข้ามาครอบครอง มีขันธ์ห้าเข้ามาปกปิดเอาไว้อย่างมิดชิด เพียงแค่ภพของมนุษย์ที่เรามองด้วยตาเนื้อ เราต้องอาศัยปัญญาของพระพุทธองค์ ถึงจะเข้าถึง ความเกิดความดับ เห็นการเกิด เห็นการดับของจิตวิญญาณ โดยการสร้างความรู้ตัวเน้นลงอยู่ที่กายของเราให้ได้เสียก่อน แล้วก็ให้ต่อเนื่อง อย่าไปเกียจคร้าน ศรัทธาบารมีส่วนอื่นนั้น พากันสร้างกันมาดี แต่กำลังสตินี้มีน้อยนิด ไม่ค่อยจะสร้าง ถึงสร้างขึ้นมาก็ไม่รู้จักเอาไปใช้ เอาไปวิเคราะห์ให้ได้ทุกเรื่อง
เราต้องเจริญสติเข้าไปรู้เหตุรู้ผล เห็นการเกิดการดับของวิญญาณในกายของเรา เห็นอาการของวิญญาณในกายของเรา ซึ่งเรียกว่า ‘แยกรูปแยกนาม’ ส่วนรูปส่วนนาม ส่วนรูปทำหน้าที่อย่างไร ส่วนนามทำหน้าที่อย่างไร มีอยู่ในกายของเราหมด พระพุทธองค์ท่านสอนเรื่องอะไร เราต้องทำความเข้าใจให้ถึงความหมายนั้น ๆ ปรากฏขึ้นที่ใจของเรา
มีเรื่องเดียวเท่านั่นแหละ คือเรื่องทำใจของเราให้สะอาด ให้บริสุทธิ์ ก่อนที่จะหมดลมหายใจ ก่อนที่ธาตุขันธ์จะแตกจะดับ นอกนั้นก็เป็นเรื่องการอนุเคราะห์ประโยชน์ในระดับของสมมติ เพื่อยังสมมติให้อยู่ดีมีความสุข ถึงวาระเวลาก็ต้องได้วาง แม้แต่กายของตัวของเราเอง ก็เป็นก้อนสมมติ เราก็ต้องได้วาง แต่เราต้องให้รู้ก่อน ก่อนที่จะถึงเวลานั้น มองเห็นหนทางเดินของตัวเรา ว่าเราจะได้กลับมาเกิดหรือไม่ได้กลับมาเกิดกัน อย่าไปเบื่อหน่ายในการทำความเข้าใจ อย่าไปเกียจคร้านในการทำความเข้าใจ อยู่คนเดียวเราก็ทำความเข้าใจกับชีวิตของเรา กับความเป็นอยู่ของเรา อะไรเราขาดตกบกพร่อง เราก็รีบแก้ไขเสีย อะไรไม่ดีเราก็ทำให้มันดีเสีย
ใจวิเวก ใจไม่เกิดเป็นอย่างไร ใจที่สะอาดเป็นอย่างไร ใจที่ปราศจากกิเลสเป็นอย่างไร คำว่า ‘สมาธิ’ เป็นอย่างไร สมาธิอยู่ในระดับไหน สมาธิที่ปราศจากกิเลส สมาธิที่ใจไม่เกิด สมาธิที่ข่มเอาไว้ สมาธิที่การปล่อยการวาง การทำความเข้าใจ ทุกเรื่อง มีเหตุมีผลหมด เหตุผลภายในทางด้านนามธรรมก็มี เหตุผลทางโลกธรรม ทางสมมติก็มี โลกธรรมก็อาศัยกันอยู่ เราต้องศึกษาให้ละเอียดในกายของตัวเรา
พระพุทธองค์ท่านก็สอนในเรื่องชีวิตของเรานี้แหละ ไม่ได้สอนเรื่องอะไร แต่พวกเรานั้นมีตั้งแต่แสวงหามาทับถมดวงใจตัวของเราเอง จนมากขึ้น ๆ จนปิดเอาไว้เสียมิด เราก็ต้องมาขัดมาเกลา มาแก้ไข จนกว่าจะกลับคืนสู่สภาพเดิม คือความสะอาด ความบริสุทธิ์ ความไม่เกิด เกิดในกายเนื้อเราก็เกิดมาแล้ว บริหารเขาไปจนกว่าเขาจะแตกจะดับ เขาแตกดับแล้ว เราก็เหลือตั้งแต่ส่วนของวิญญาณ ตราบใดที่วิญญาณยังเกิดอยู่ เขาก็ต้องเกิด ถ้าเราละได้ ดับได้ ทำความเข้าใจได้ เขาก็ไม่เกิด ก็ต้องพยายามเอา
ไม่ว่าพระ ว่าโยม ว่าชี จงพยายามทำของยากให้เป็นของง่าย จากของง่ายก็จะง่ายยิ่ง ๆ ขึ้นไป ทั้งโลกทั้งธรรม ต้องเอื้ออาศัยกันอยู่ ก็ต้องพยายามกัน สร้างความรู้สึกรับรู้การหายใจเข้าออกให้ชัดเจนกัน แล้วก็ให้ต่อเนื่อง ให้เชื่อมโยง ให้ต่อเนื่องกันสักคืบ สักนาที สองนาทีก็ยังดี ดีกว่าไม่ทำ
พากันไหว้พระพร้อม ๆ กัน พากันไปศึกษาทำความเข้าใจต่อให้รู้ทุกอิริยาบถ