แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
หลวงพ่อฝากไว้ ลำดับที่ 63
วันที่ 2 กรกฎาคม 2557
ขอให้ญาติโยมเราทุกคนทุกท่านจงเจริญสติ สร้างความรู้สึกรับรู้ สัมผัสของลมหายใจของเราให้ชัดเจน ตั้งแต่ตื่นเช้าขึ้นมา เราได้สำรวจกายสำรวจใจของเราแล้วหรือยัง ใจของเราปกติ ใจของเราสงบตั้งมั่นแล้วหรือยัง ถ้ายังเราก็พยายามเริ่มเสียนะ เพียงแค่การสร้างความรู้ตัวหรือว่าการเจริญสติ พวกเราก็พยายามทำให้ต่อเนื่อง ได้สักคืบ สักศอก สัก 5นาที 10นาที ความต่อเนื่อง ความสืบต่อ ก็ทำให้ได้เสียก่อน
ทั้งที่ใจก็เป็นบุญ ใจปรารถนาอยากทำบุญ อยากได้บุญ ใจปรารถนาอยากรู้ธรรม คนเราเกิดมาก็มีบุญอยู่ในระดับหนึ่ง แล้วก็มาทำความเข้าใจต่อ วิธีการแนวทางนั้น พระพุทธองค์ท่านได้ค้นพบ แล้วก็มาเปิดเผยการเจริญสติ นี่ลักษณะของคำว่า ‘รู้ตัวอยู่ปัจจุบัน’ การสร้างความรู้ตัวอยู่ปัจจุบันให้ต่อเนื่อง รู้แล้วก็รู้ลักษณะของใจที่ปกติ รู้การเกิดของใจ รู้การเกิดของความคิดของอารมณ์ซึ่งเป็นฝ่ายนามธรรม ซึ่งเรียกว่า ‘รอบรู้ในกองสังขาร’ ทำไมใจถึงเกิด ทำไมใจถึงหลง ทำอย่างไรเราถึงเห็นตั้งแต่ต้นเหตุ ต้นเหตุการเกิดของใจ ต้นเหตุการเกิดของขันธ์ห้า
อะไรคือส่วนรูป อะไรคือส่วนนาม การบำเพ็ญการสร้างตบะ สร้างบารมี ทำอย่างไรถึงจะเป็นบุญเป็นกุศล ทำอย่างไรถึงจะเป็นประโยชน์ เราก็ต้องเจริญสติเข้าไปให้ต่อเนื่องให้เชื่อมโยง เพื่อที่จะรู้เหตุรู้ผล ชี้เหตุชี้ผล เห็นเหตุเห็นผล พระพุทธองค์ท่านชี้ลงที่เหตุ สนามรบก็อยู่ที่กายของเรา เรามีความขยันหมั่นเพียรเพียงพอหรือไม่ เรามีการขัดเกลากิเลสรึเปล่า เรามีความรับผิดชอบ มีการฝักใฝ่ มีการสนใจ ในกายของเรา พยายามทำให้มีให้เกิดขึ้นที่ใจของเรา
ใจของเรามีความอ่อนน้อมถ่อมตน ใจของเรามีความแข็งกระด้าง เราก็รู้จักแก้ไข ใจของเราเกิดกิเลส เราก็รู้จักละ รู้จักดับ ด้วยการเอาออก ด้วยการให้ ด้วยการให้อภัย ความหลงนั่นแหละถึงได้เกิด เขาหลงมาแล้วถึงได้เกิด จนได้มาสร้างภพของมนุษย์ มาสร้างกายเนื้อ เข้ามาปิดไว้อีก กายเนื้อปิดไว้ก็ยังไม่พอ ความคิด อารมณ์ซึ่งเป็นฝ่ายนามธรรมก็มาปิดไว้อีก ตัววิญญาณนั้นก็ยังเป็นทาสของกิเลสอีก ความทะเยอทะยานอยาก ปรุงแต่งส่งออกไปภายนอกอีก
กิเลสหยาบ กิเลสละเอียด สารพัดอย่างที่มาปกปิดดวงใจของพวกเราเอาไว้ ท่านถึงให้เจริญสติ เจริญพรหมวิหาร สร้างบารมี ตั้งแต่ทาน ศีล สมาธิ การศึกษาการทำความเข้าใจ การชี้เหตุชี้ผล เห็นเหตุเห็นผลจนใจยอมรับความเป็นจริง จนใจปล่อยวางได้ ในขั้นหยาบ ขั้นละเอียด แม้แต่ตัวใจก็ต้องวาง
แต่เวลานี้กำลังสติของเรามีไม่เพียงพอ การสร้างบุญให้ทานนั้นมีกันอยู่ประจำ แต่การเจริญสตินี่ ต้องทุกอิริยาบถตั้งแต่ตื่นขึ้นมา จนเห็นความเกิดความดับ ซึ่งเรียกว่า ‘เห็นธรรม’ รู้ใจของเราเกิดดับ รู้ใจของเราคลายออกจากความคิด เราแก้ไขตัวเรา ปรับปรุงตัวเรา ชนะตัวเราแล้วก็จะชนะหมดทุกอย่าง
อันนี้ตัวเราก็ไม่รู้จักแก้ เจริญสติก็ไม่รู้จักทำให้ต่อเนื่อง มันก็ยิ่งห่างไกล ตัวใจก็ยิ่งปรุงแต่งส่งออกไปภายนอก ก็ยังปิดกั้นตัวเขาเองอีก เพราะว่าเรื่องพวกนี้เป็นเรื่องสลับซับซ้อน แต่ก็ไม่เหลือวิสัย เพราะว่าแนวทางมีอยู่ วิธีการมีอยู่ ขอให้เราทำให้ต่อเนื่อง มีความเพียรเป็นเลิศ ความเพียรในการวิเคราะห์ ในความขยันหมั่นเพียร ในการขัดเกลากิเลส ไม่ใช่ว่าจะไม่ถึงจุดหมายปลายทางกัน จุดหมายปลายทางก็คือความสะอาด ความบริสุทธิ์ของใจ ความไม่เกิดของใจนั่นแหละ
มองเห็นทุกสิ่งทุกอย่างตามความเป็นจริง อยู่กับสมมติ เคารพสมมติ ไม่ยึดติดสมมติ ยังสมมติให้เกิดประโยชน์ ช่วยเหลือตัวเองให้ได้ ใช้ตัวเองให้เป็น สร้างความขยันหมั่นเพียร ให้มีให้เกิดขึ้นตลอดเวลา พระพุทธองค์ท่านก็สอนเรื่องชีวิตของเรา ไม่ได้สอนเรื่องอื่น ชีวิตของเรานี้มีอะไรบ้าง ในกายของเรามีอะไรบ้าง สนามรบก็อยู่ที่นี่ รบรากับกิเลสให้หมดจด เอาเรื่องของเราให้จบ จบแล้วก็ช่วยเหลือเพื่อนเกิดแก่เจ็บตายด้วยกัน อนุเคราะห์ช่วยเหลือซึ่งกันและกัน เท่าที่เราจะทำได้ เราก็ต้องพยายาม
เราสอนตัวเราไม่ได้ อย่าไปเที่ยวให้คนอื่นเขาสอน ไม่มีประโยชน์ เราต้องบอกตัวเอง สอนตัวเอง แก้ไขตัวเอง เอาชนะตัวเรา จะไปเที่ยวให้คนโน้นเขาสอน คนนี้เขาสอน ที่นั่นที่นี่ เสียเวลาเปล่า เรารู้จักวิธี รู้จักแนวทางแล้ว กายวิเวกเป็นอย่างนี้ ใจวิเวกเป็นอย่างนี้ ภาระหน้าที่การงานเป็นอย่างนี้ รอบรู้ในกองสังขาร รอบรู้ในโลกธรรม รอบรู้ในขันธ์ห้า รู้จักวิธีดำเนินชีวิต จากน้อย ๆ ไปหามาก ๆ จนมันเต็มเปี่ยม จนล้นออกไปทุกขณะ ทุกเวลา ใจของเราก็ไม่ได้ทุกข์ได้เครียด ใจก็ได้พักผ่อน งานภายนอกก็ยังประโยชน์ จนกว่าจะหมดลมหายใจ ก็ต้องพยายามกันนะ
สร้างความรู้สึกให้ต่อเนื่องกันสักนิดนึงก็ยังดี ดีกว่าไม่ได้ทำ
พากันไหว้พระพร้อม ๆ กัน พากันศึกษาทำความเข้าใจต่อกันนะ